Category ข่าวบันเทิง

หมิว สิริลภัส

"หมิว สิริลภัส" เปิดตัวแฟนชายหนุ่ม ป่วยโรคซึมเศร้าทั้งสองแต่ดูแลกันได้!

ดาราสาวสวยเช็กซี่ “หมิว สิริลภัส” ควงแฟนชายหนุ่ม ยูทูบเบอร์ “ฟาโรห์ เตชภณ” ที่พึ่งจะเปิดตัวกันไปเร็วๆนี้ ซึ่งก่อนหน้านี้ฝ่ายสาว เคยลั่นไว้แล้วว่า จะไม่มีแฟนอีกแล้ว จะปิดใจ แต่ว่าท้ายที่สุด ก็ใจอ่อน เพราะคนนี้ อยู่เคียงข้าง ในทุกเมื่อพร้อมเล่าถึงอาการซึมเศร้า ที่ยังต้องรักษา และก็แฟนหนุ่มก็เคยเป็นโรคซึมเศร้าแบบเดียวกัน ทั้งเปิดใจเรื่องแต่งงาน รวมทั้งต้องการมีลูกมั้ย? ทุกประเด็นในรายการคุยแซบ SHOW ออกอากาศทางช่องวัน 31 ที่มีหนิง ปณิตา และก็ธัญญ่า ธัญเรศ ดำเนินรายการ

คบกันมากี่เดือนแล้ว?
ฟาโรห์ : จริง ๆ ขอเค้าเป็นแฟนเมื่อตอนคริสต์มาส

จุดเริ่ม?
หมิว : เค้าเห็นข่าวหมิวไปช่วยเหลือม็อบชาวนา เค้าสนใจที่จะสมทบทุนด้วยแล้วให้ทีมงานติดต่อมา หลังจากนั้นก็มีเฟสบุ๊คกัน เราก็ไม่ได้คุยกันขนาดนั้น มีช่วงต้นพฤศจิกา หมิวอยากไปหาที่พักผ่อนที่บางแสน จำได้ว่าเค้าอยู่บางแสนเลยโทรหามีที่ไหนที่แนะนำหรือเปล่า เราชอบช่วยเหลือคนอื่นเหมือนกัน เราไปทำด้วยกันแล้วรู้สึกสนิทกันมากขึ้น
ฟาโรห์ : วันที่บางแสนวันนั้น เค้าอยู่ในช่วงที่ไม่โอเคเลย
หมิว : หมิวป่วยเป็นซึมเศร้า ช่วงนั้นมีเหตุการณ์ที่ค่อนข้างกระทบกระเทือนจิตใจแรง เราอยากไปหาที่สงบอยู่คนเดียว วันนั้นเค้ามาอยู่เป็นเพื่อน แค่นั่งอยู่เป็นเพื่อน

ในเวลานั้นเริ่มชอบหรือยัง?
ฟาโรห์ : ไม่ได้ฟิลนั้น เราแค่อยากอยู่ข้าง ๆ เค้า เราแค่อยากอยู่ตรงนั้นเฉย ๆ ผมแค่ไปรั่งตรงนั้นไม่ได้มีความรู้สึกอย่างอื่นนอกเหนือจากนั้น มีโมเมนต์นึงที่ผมบอกว่า ผมดีใจที่ผมนั่งอยู่ตรงนี้ แล้วคุณก็นั่งอยู่ตรงนี้ เค้าก็บอกผมว่า..
หมิว : อย่ามายุ่งกับกู หมิวเป็นคนที่แบบถ้าไม่สนใครหมิวจะปิดเลย เพราะตั้งใจไว้แล้วหลังจากเลิกกับคนเก่าหมิวจะไม่มีความรักครั้งใหม่ รู้สึกว่าพอแล้ว วางแผนไว้ว่าจะใช้ชีวิตถึงอายุเท่าไหร่แล้วจะไปตายยังไง เรารู้ว่าวันนึงถ้าเราเอาใจไปผูกกับใครเราจะใช้ชีวิตที่เราตั้งใจไม่ได้ ก็เลยปิดเลยกั้นเลย

เจอประโยคนั้น ทำยังไง?
ฟาโรห์ : ผมก็นั่งอยู่เฉย ๆ ไม่โกรธ ด้วยความรู้สึกของเรา เราไม่เข้าใจในสิ่งที่ผ่านมา แต่เราเข้าใจตรงนั้นว่าเราแค่อยากอยู่ตรงนี้ อยากอยู่ข้าง ๆเค้าเฉย ๆ ในสถานะไหนก็ได้

คิดว่าคนมองในมุมดาร์ก ๆ ไม่ได้มองในมุมขาว ๆ ?
หมิว : ถ้าเป็นเมื่อก่อนรู้สึกว่าเราน้อยใจจังเลย พอเราอยู่ในวงการมาเรื่อย ๆเรามีภูมิคุ้มกันแล้ว สุดท้ายตัวตนเราจริงๆแล้วเป็นยังไง ใครรักเราเราดีใจ ใครไม่ชอบเรานั่นคือเรื่องของเค้า เราไม่เคยคิดร้ายใคร ไม่เคยให้ร้ายใคร ไม่เคยทำใครก่อน มันผิดอะไรที่วันนึงเราออกมาปกป้องตัวเองถ้ามีคนมาทำอะไรเราก่อน

หมิว สิริลภัส กับแฟน

เพราะเหตุไรถึงปิดตายความรัก ทำไม?

หมิว : ครั้งก่อนมันดีมาก เรารู้สึกว่เราพอแล้วเพราะเราเจอความรักที่ดีมากแบบนั้นแล้ว เลยรู้สึกว่าเราพอ แฟนเก่าที่เป็นทันตแพทย์อันนั้นคือดีมาก หลังจากนั้นมาหมิวไปเจอความรักที่มันแย่มาก หมิวเลยรู้สึกว่าเจอความรักที่ดีที่สุดมาแล้วหมิวพอแล้ว ไม่อยากไปเจออะไรที่เป็นเส้นทางใหม่ๆแล้ว เราเจอทั้งดีมาก ๆและแย่มาก ๆ มาแล้ว เราได้สัมผัสทุกอย่างแล้ว เพราะฉนั้นอยู่ตัวคนเดียวก็ได้

อะไรทำให้เปิดใจกับความรักครั้งนี้?
หมิว : เค้าอยู่กับหมิวตลอด วันที่เราแย่ที่สุดเค้าก็อยู่ อีกอย่างนึงคือสมัยก่อนเราไม่เคยมีใครที่ไปทำเพื่อคนอื่นแบบนี้แต่ตอนที่เรารู้สึกอยากทำอะไรเพื่อคนอื่นแล้วมีคนทำข้างๆด้วยกัน เรารู้สึกว่าเราไม่ได้สู้อยู่คนเดียว หมิวเคยพยายามฆ่าตัวตายหลายรอบมาก แล้วพอไม่ตายรู้สึกว่าหลังจากนี้จะใช้ชีวิตตัวเองให้เป็นประโยชน์กับคนอื่น ล้วพอมีคนที่เข้ามาทำด้วยกันมันสนุก เลยลองแล้วกันลองเปิดใจดู วันนึงที่หมิวล้ม หรือเริ่มอ่อนแอทางจิตใจ เค้าก็ยังอยู่ตรงนี้ตลอดถ้าหมิวผ่านช่วงนั้นไปได้ข้ามไปหมิวที่มีความสุข หมิวก็อยากให้เค้าอยู่ตรงนั้นเหมือนกัน

เรื่องราวประทับใจจนต้องตามจีบ?
ฟาโรห์ : พอเราไปทำอะไรหลาย ๆ อย่างด้วยกัน ได้เห็นอีกพาร์ทนึงของเค้า มันเป็นอะไรที่ดีมากที่เราได้ไปทำกิจกรมช่วยคนอื่นด้วยกัน แล้วเราอยากอยู่ข้าง ๆ เค้าไปเรื่อย ๆ
หมิว : ตอนนั้นหมิวเลยว่าถ้าคิดจะจีบหมิวไม่ต้องเลยนะเสียเวลา หมิวไม่คบใครแน่ๆ ถ้าจะเข้ามาในความสัมพันธ์ที่มันมากกว่านี้ออกไปเลย หมิวไม่อยากมีความสัมพันธ์ที่ซีเรียสกับใครแล้วอยากมีเพื่อนนั่งคุย กินข้าวดูหนัง ถ้ามากกว่านั้นออกไปเลย แต่หลังจากที่เราออกไปทำกิจกรรม หมิวรู้สึกว่าสนิทกับเค้ามากขึ้น เราไม่รู้ว่าวันรุ่งขึ้นชีวิตเราจะเป็นยังไงรักใครชอบใครให้รีบบอก

หมิวเป็นคนบอกก่อน?
หมิว : ใช่ค่ะ หมิวบอกเค้าเลยว่าเริ่มรู้สึกดีกับคุณแล้วนะ
ฟาโรห์ : ผมเป็นคนนึงที่ชัดเจนในความสัมพันธ์ อย่างบอกให้ไปกินข้าวเป็นเพื่อน ผมไม่ใช่เพื่อนคุณ เราชัดเจน เรามาเพราะเราชอบคุณ วันที่เค้าบอกเป็นความรู้สึกที่ดี

ขอเป็นแฟนวันคริสต์มาส?
ฟาโรห์ : เค้าเคยบอกผมว่าเค้ามีคริสต์มาสที่ดีมาก ๆ มาแล้ว เค้าไม่อินกับคริสมาสต์อีกเลย เราเข้าใจ ผมจะบอกเค้าเสมอว่าสิ่งที่ผ่านมาไม่ว่าจะแย่ที่สุดหรือดีที่สุด สิ่งหนึ่งที่ไม่มีคือไม่มีผมอยู่ในนั้น ปีนี้ผมไม่รู้ว่าดีที่สุดมั้ย แต่มีผม แล้วผมจะอยู่ข้างๆคุณตรงนี้ เราจองรูฟทอปแล้วแต่ันไม่ได้ เลยชวนไปนั่งคุยกันที่บ้านเป็นแฟนกันมั้ย เพราะเรารู้สึกว่าเวลาไม่ใช่ปัจจัยสำคัญขนาดนั้น เอาเวลาที่เหลือมาศึกษากันดีกว่า
หมิว : ตั้งแต่อยู่วงการมา 17-18 ปี นี่เป็นครั้งแรกที่หมิวกล้าพาแฟนมาออกรายการ เป็นครั้งแรกเลยที่หมิวมีความรักแล้วทุกคนร่วมยินดี แม้แต่คนรอบตัว

เป็นโรคซึมเศร้าทั้งสอง ซัพพอร์ตกันยังไง?
ฟาโรห์ : มันง่ายมากที่หลายคนจะไม่รู้ ของผมที่รู้คือผ่านมาเป็นปี โรคซึมเศร้าเป็นสิ่งที่ต้องไปหาหมอนะ ความเศร้าไม่ได้ทำให้เราอยากตายไม่ได้ทำให้เราอยากทำร้ายตัวเอง แต่โรคซึมเศร้ามันจะดึงเราดิ่งลงไป สุดท้ายหาหมอครับผู้เชี่ยวชาญ ถ้าหมอคนนี้ไม่หายเปลี่ยนหลาย ๆ หมอ
หมิว : นอนน้อยเกินไป กินน้อยเกินไป กินเยอะไป กินน้อยไป ถ้าเราอยู่ท่ามกลางคนแล้วใจเราหวิวลงไป บางทีมันไม่ได้เกิดจากใจเราเองมันเกิดจากสารเคมีในสมอง เราจะคิดวนเวียนมองตัวเองในกระจกแล้วไม่ชอบคนนี้เลย ตอนนี้หมิวยังต้องกินยารักษาอยู่ ยังไม่รู้ว่าเดินทางไปถึงตรงไหน แต่อาการดิ่งลงไปหรือรู้สึกอยากหายไปมันจะไม่มีแล้ว

ดูแลหมิวยังไง?
ฟาโรห์ : ผมอยู่กับเค้าครับแค่นั้นเลย รับฟัง เข้าใจ ฟังอย่างตั้งใจ บางทีเค้าแค่ต้องการใครสักคนที่อยู่ตรงนั้นฟังเค้าและไม่ตัดสินเค้า

อุปสรรคโรคซึมเศร้ากับชีวิตคู่?
หมิว : ไม่มีค่ะ ส่วนมากหมิวจะเริ่มรู้สึกไม่ดี เริ่มมีอาการ เค้าจะพาหมิวออกไปข้างนอกทำโน่นทำนี่ ถ้าไม่อยากทำก็ไม่เป็นไรอยู่ตรงนี้เค้าจะอยู่ข้าง ๆ ตลอด

หมิว สิริลภัส เคยพูดว่าจะไม่แต่งงานเด็ดขาด?

ฟาโรห์ : ไม่เป็นไร ผมก็บอกเค้าว่าคุณไม่รู้หรอก ชีวิตเราเปลี่ยนไปในแต่ละวัน เป้าหมายผมจริงๆคืออยากอยู่กับเค้าอยากอยู่ข้างๆเค้า แต่งงานมั้ยคืออีกเรื่องนึง ถ้าเค้าไม่อยากแต่งก็ดูไปเรื่อยๆไม่เป็นไร

ต้องการมีลูกมั้ย?
ฟาโรห์ : โลกมันโหดร้ายมากในปัจจุบัน เรามีความคิดว่าจะไม่สร้างสิ่งมีชีวิตขึ้นมาบนโลกนี้ แต่ถ้าเราอยากดูแลใครสักคน เรามีน้องๆที่เกิดมาแล้วที่ต้องการการซัพพอร์ต สุดท้ายก็ต้องคุยกับเค้าอีกทีว่าจะยังไง ผมไม่ได้มองว่าจะต้องมาจากเลือดเนื้อเชื้อไขของเรา มาจากทัศนคติที่ถ่ายทอดออกไปก็ได้ หรือชีวิตนึงที่เราอยากจะดูแล

เพราะอะไรถึงไม่ต้องการแต่งงาน?
หมิว : รู้สึกว่าการแต่งงานเป็นเรื่องสิ้นเปลือง เราอยากให้ทุกคนมานั่งกินข้าวกันปาร์ตี้กันโอเคกว่า ที่ไม่อยากมีลูกรู้สึกว่าการเลี้ยงคน ๆ นึงให้แข็งแรงทั้งร่างกายและจิตใจในสังคมที่ค่อนข้างบิดเบี้ยวต้องใช้ทั้งทรัพยากรพลังงานเราเงิน เวลา ความเข้าใจ หลายมิติมากๆ แล้วไม่รู้ว่าวันนั้นเราจะทำมันได้ออกมาดีหรือเปล่าก็เลยไม่อยากมี

ติดตามดูรายการคุยแซ่บShow ทุกวันจันทร์-วันศุกร์ เวลา13.15-14.15 น. ทางช่อง one31 Facebook Page : คุยแซ่บShow รับชมย้อนหลังได้ที่ Youtube Channel : Orange Mama

แพทริเซีย

แพทริเซีย เปิดความหมายชุดหมั้น ได้ไอเดียมาจาก…

เจ้าสาวป้ายแดง แพทริเซีย กู้ด โพสต์อินสตาแกรมถึง หนึ่งในชุดหมั้นที่เป็นงานดีไซน์ของดีไซนเนอร์คนดัง “หมู อาซาว่า” ว่า

“แพทไม่ได้อยากได้เดรส อยากได้เป็นเสื้อกับกระโปรง ด้วยเหตุว่ามีความรู้สึกว่าทะมัดทะแมงดี และก็เป็นตัวเรา คือมีทั้งความเท่ แต่ว่าในขณะเดียวกัน ก็อยากใส่ความเฟมินีน ลงไป แพทอยากได้ชุดที่ดูไทม์เลส ไม่เชย

ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปี ก็ยังชอบ พอปรึกษากันกับพี่หมู ก็ได้ออกมาเป็นแบบนี้ แพทชอบความลงตัว ของชุดค่ะ มีทั้งความเป็นเด็ก และก็ผู้ใหญ่ เรียบร้อย แล้วก็เท่ ในเวลาเดียวกัน แล้วก็ต่างจากชุดอื่นๆด้วย เพราะว่าจะเป็นชุดเดียว ที่เป็นสองชิ้นค่ะ

แรกๆรู้สึกแอบเกร็งค่ะ เนื่องจากว่าคิวพี่หมู ก็แน่นด้วย เกรงใจสุดๆ แต่พอเข้าไปคุย พี่หมูก็รับฟังไอเดียของเรา และก็คอยแนะนำ รวมทั้งเป็นที่ปรึกษา ที่ดีมาก เราเลยสบายใจ ทีแรกได้ลองหลายชุดเลยค่ะ คนละอย่างหมดเลย ทั้งชุดเรียบๆ ชุดพอง

เพื่อดูว่าเราชอบแบบไหน แล้วแพทก็ไปทำการบ้านต่อ ส่วนมาก จะดูภาพตามเน็ตนี่แหละค่ะ และมาสะดุดตา รูปที่เป็นเสื้อ กับกระโปรง มีความเป็นฝรั่ง และดูสบายๆค่ะ เลยกลับมาแชร์ไอเดียกับพี่หมู โชคดีที่พี่หมูเข้าใจ แล้วก็ออกแบบออกมาเป็นแบบที่ตรงใจเลยค่ะ” แพทเล่าอย่างมีความสุข

ความหมายชุดหมั้น แพทริเซีย

ด้าน “หมู อาซาว่า” เผยว่า

“มาจากน้องแพทเลยครับ ผมถามน้องว่ามีภาพในฝันไหม น้องบอกอยากให้ดูเท่ โก้ มินิมัล และไทม์เลส ก็มีเรเฟอเรนซ์มาหลายไดเร็กชั่น สุดท้ายก็เหลือไดเร็กชั่นที่ชอบสุด คือ Skirt Suitจากนั้นก็ค่อยๆ มองหาว่าต้องทำยังไงให้ได้อย่างที่น้องต้องการ แฟ็กตอร์สำคัญคือต้องมีความตระการตาด้วย เพราะว่าน้องเป็นซูเปอร์สตาร์ มันจะมินิมัลยังไงให้รู้สึกว่าไม่นิ่งจนเกินไปเราต้องมองหาซิลลูเอตที่ทำให้รู้สึกว่าเป็นตัวแพทริเซีย

ขณะเดียวกันต้องได้ว้าวเอฟเฟ็กต์ด้วย ชุดนี้ใช้สำหรับพิธีหมั้น เราต้องคำนึงด้วยว่าต้องนั่งสวย ยืนสวย ก้มได้ เพราะน่าจะเป็นช็อตที่คนถ่ายเยอะมาก

เราอยากได้ชุดที่ effortless ดูประดิษฐ์แต่ไม่ประดิษฐ์ แพทเป็นเจ้าสาวที่ไม่ได้เกร็ง สบายๆ เขาชิลตั้งแต่แรกแล้ว ความจริงผมรู้จักทั้งคู่มานานแล้ว เลยมองหาชุดที่เป็นตัวเขาทั้งสองคน คือสวย แฟชั่น มีความพิเศษแต่ในขณะเดียวกันก็ต้องมีความสบายแฝงอยู่ เรียกว่าหารายละเอียดที่ตอบโจทย์ความเป็นตัวเขามากที่สุด ทกคนคงอยากเห็นภาพที่รู้สึกว่ามันอิ่มไปด้วย ตอนแรกน้องอยากได้กระโปรงสอบ

เราบอกลองปั๊มให้ดูมีวอลุ่มดีไหมจะได้มีอะไรขึ้นมาอีกนิดนึง เลยเติมพลีตเข้าไป เพื่อให้ดูมีรายละเอียดที่วิจิตรและน่าสนใจขึ้น”

ประวัติ แพทริเซีย กู๊ด แต่งงานกับ โน้ต วิเศษ

ประวัติความเป็นมา แพทริเซียกู๊ด
แพทริเซีย กู๊ด หรือ ธัญชนก กู๊ด ล่าสุดเข้าพิธีหมั้นกับหวาน โน้ต วิเศษ สุดชื่นมื่น แพทริเซีย กู๊ด เกิดวันที่ 18 สิงหาคม พ.ศ.2540 อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต เป็นลูกครึ่งอังกฤษ-ไทย เป็นบุตรสาวคนโตของ นายเดวิด กู๊ด และ นางปิยะนุช กู๊ด มีน้องชาย 1 คน คือ แมทธิว กู๊ด อายุห่างกัน 5 ปี กระทั่งย้ายเข้ามาอยู่ในกรุงเทพฯ ตามพ่อที่ทำงานในกรุงเทพฯ เมื่อตอนอายุได้ 8 ขวบ ในปี พ.ศ.2548 แพทริเซีย เคยศึกษามัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนนานาชาติโชรส์เบอรี่ (Shrewsbury International School) สอบเทียบ ม.6 ระดับปริญญาตรี จากคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สาขาวิชาการจัดการการสื่อสาร (หลักสูตรนานาชาติ) จบปีการศึกษา 2561 ด้วยคะแนนเฉลี่ย 3.70 เกียรตินิยมอันดับ 1 รับพระราชทานปริญญาบัตรเมื่อ วันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ.2561

หลังจากเกิดเหตุการณ์สึนามิถล่มเมื่อปลายปี พ.ศ.2547 แพทริเซียเริ่มเข้าสู่วงการบันเทิง เมื่อเพื่อนสนิทของมารดาซึ่งรู้จักกับ “จันทร์จิรา จูแจ้ง” ได้ชักชวนแพทริเซียให้เข้ามาคัดเลือกเป็นนักแสดง ผลงานชิ้นแรกของเธอ คือ การเป็นนางแบบให้นิตยสารต่าง ๆ ต่อมาจึงแสดงภาพยนตร์โฆษณา ก่อนที่จะแสดงละครโทรทัศน์อย่างเต็มตัวเมื่อผ่านการคัดเลือกจาก “สมจริง ศรีสุภาพ” ปัจจุบันแพทริเซีย เป็นนักแสดงในสังกัดสถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 และมีผลงานละครโทรทัศน์เรื่องแรกคือ “หนุ่มบ้านไร่กับหวานใจไฮโซ” รับบทเป็น น้อยหน่า และต่อมาได้เป็นนางเอกเต็มตัวครั้งแรก แสดงนำคู่กับ “สน ยุกต์ ส่งไพศาล” ในเรื่อง “แค้นเสน่หา”​ ปัจจุบันคบหาดูใจกับนักธุรกิจหนุ่ม “โน้ต วิเศษ รังษีสิงห์พิพัฒน์”

ไอจี แพทริเซีย กู๊ด @patriciagood
https://www.instagram.com/patriciagood/

แอล กมลวรรณ กรุง ศรีวิไล

"แอล กมลวรรณ” เปิดใจหนแรก! ย้อนนาทีระทึก ขับรถหรูชนยับ อยู่ดีๆก็วูบ

เปิดใจหนแรก! ย้อนนาทีระทึก ขับรถหรูชนยับ แล้วอยู่ดีๆก็วูบ สืบเนื่องจากในกรณีที่ แอล กมลวรรณ ลูกสาวดารารุ่นใหญ่ กรุง ศรีวิไล เกิดอาการวูบตอนที่ขับรถยนต์ จนถึงเป็นเหตุให้เสียหลัก พุ่งชนรถยนต์ ที่จอดอยู่ข้างทาง ณ รอบๆร้านค้าข้าวต้ม ริมทางพัทยากลาง จังหวัดชลบุรี จนถึงเป็นข่าวดัง เมื่อช่วงกลางเดือนธ.ค.ก่อนหน้านี้ที่ผ่านมา

ล่าสุด! ในงานประกาศรางวัล Thailand digital Awards 2022 กองทัพสื่อมวลชนได้มีโอกาส เจอกับ แอลกมลวรรณ จึงได้เข้าไปถามไถ่ ถึงรายละเอียด ของเรื่องที่เกิดขึ้น รวมทั้งกระแสดราม่า บนโลกโซเชียลฯ

แอล กมลวรรณ เสียหลักพุ่งชนยับ

หลังจากชาวเน็ต ตั้งเรื่องที่น่าสงสัย ในทำนองว่า มีการใช้เส้น ของคุณพ่อหรือไม่?

“คนเข้าใจผิดเยอะ เหตุการณ์วันนั้น แอลไปพัทยากับคุณแม่ และน้องชาย ไปวันเกิดน้า ประมาณ 5 ทุ่มกว่า ก็พาแม่ขับรถกลับบ้าน แต่ขับอยู่ดีๆ ก็รู้สึกวูบไปเลย เหมือนที่แอลเคยบอก ว่าเกิดขึ้นบ่อย แต่ไม่เคยเกิดขึ้น ตอนแอลขับรถ เพราะแอลเป็นคนที่ความดันต่ำ ก็กินยาบำรุงเลือด ซึ่งปกติก็จะมีคนขับรถ แต่วันนั้นอยากเดินทางกันแค่ 3 คนแม่ลูก มันก็เลยเกิดเหตุการณ์ คือมารู้ตัวอีกที ตอนที่รถมันปั้งๆๆๆ แล้ว มันรู้แค่นั้นเลย ซึ่งที่ผ่านมา ไม่เคยเกิดตอนขับรถ แม้แต่ครั้งเดียว ทั้งที่เป็นคนชอบขับรถ ขับรถให้เพื่อนนั่งตลอด อาจเป็นช่วงที่อ่อนแอ พักผ่อนน้อย เลยทำให้เกิดเหตุการณ์”

“แอลอยู่ข้างหน้า แม่อยู่ข้างหลัง พอเกิดเหตุการณ์วันนั้นปุ๊บ แอลรีบวิ่งออกไป ยกมือไหว้ ขอโทษเขา มีใครเป็นอะไรไหมคะ มีใครบาดเจ็บไหม หนูขอโทษ ขอโทษวินมอเตอร์ไซต์ ขอโทษเจ้าของร้านข้าวต้ม ขอโทษทุกคน ที่อยู่ตรงนั้น ไม่ได้มีการหลบหนี ทุกคนก็เป็นพยานได้ ก็พร้อมรับผิดชอบทุกอย่าง”

“ซึ่งตอนนั้นไม่มีใครรู้ ว่าแอลเป็นใคร เพราะว่าเราใส่หน้ากาก และเราไม่ได้ต้องการให้เป็นข่าว ไม่คิดว่าจะเป็นข่าวเลย คิดว่าจะเป็นเพียงอุบัติเหตุแค่นิดๆ เพราะเราสามารถเคลียร์ได้ ไม่ต้องเป็นข่าว เพราะไม่อยากให้พ่อไม่สบายใจ และเราก็อยู่กับแม่ด้วย น่าจะผ่านไปได้”

“ที่เกิดเหตุทุกคนไม่มีสีหน้า ทุกคนจะนิ่งๆ ก่อน ก็ยังคง งงๆ ช็อกๆ ตกใจกับเหตุการณ์ ไม่มีใครพูดอะไร แต่มีพี่คนหนึ่งมาถามว่า เราเป็นอะไรไหม ก็ยังหัวโนตรงนี้อยู่เลย แต่ไม่มีใครที่โวยวาย และยืนยันว่าไม่ได้ดื่ม เพราะหลังจากที่เกิดเหตุ เราก็เดินทางไปที่ สถานีตำรวจทันที และได้มีหลักฐานผลตรวจแอลกอฮอล์เรียบร้อย ผลตรวจเป็นศูนย์ค่ะ ไม่ได้ดื่ม ไม่ได้กิน ปกติรับว่าเป็นคนดื่ม แต่วันนั้นไม่ได้กิน”

“ขอยืนยันไม่ได้เมาแล้วขับ ไม่ได้มีใครช่วย มีคอมเมนต์หาว่าพ่อเป็น ส.ส. มีใครช่วยหรือเปล่า ขอบอกเลยนะคะ พ่อยังไม่รู้เลยว่าขับรถชน พ่อมารู้ข่าวตอนเช้า เพราะฉะนั้นไม่มีคนช่วยค่ะ และถ้าเมาแล้วขับจริง พร้อมจะรับผิดชอบ ไม่หนีแน่นอน ส่วนค่าเสียหายในวันนั้น ประกันตีราคาไว้ 5 แสน ซึ่งประกันรับผิดชอบหมดทุกอย่าง ซึ่งหากเกิน แอลพร้อมรับผิดชอบหมดทุกอย่าง

ซึ่งบางส่วนเราก็ดูแลไปแล้วบ้าง ไม่ได้ปล่อยใครทิ้งขว้าง คุยกับทุกคนจนทุกคนได้ใบบันทึกประจำวัน ผู้เสียหาย 10 คน แอลรอส่งทุกคนหมด แล้วถึงไปโรงพยาบาล ไม่ได้คิดปกปิด แต่ไม่คิดว่าจะเป็นข่าวใหญ่ขนาดนั้น สภาพจิตใจตอนนี้ดีขึ้น แต่ก็ยังตกใจอยู่ วันนี้ก็ให้น้องชายขับรถมาให้ เพราะอุบัติเหตุครั้งนี้ เป็นอุบัติใหญ่ ครั้งแรกในชีวิต”

แอล กมลวรรณ

“แอล กมลวรรณ” ยืนยันมิได้เมาแล้วขับ สะสางเองจบ ไม่มีใช้เส้นพ่อ

“แอล กมลวรรณ” เล่าเรื่องรถชนที่พัทยา เผยเป็นการวูบ ตอนขับรถทีแรก ยันมิได้เมาแล้วขับ มีหลักฐานเป่าแอลกอฮอล์ หลังเกิดเหตุรีบลงไปขอโทษ ไม่ได้แอบหนี โชคดีไม่มีผู้ใดบาดเจ็บ ประกันตีค่าเสียหาย 5 แสน พร้อมรับผิดชอบทุกๆอย่าง จัดการเองจบเองไม่มีใครช่วย พ่อกรุงรู้เรื่องจากข่าวพร้อมทุกคน

จากในกรณีที่ดาราสาว “แอลกมลวรรณ สุทินเผือก” ลูกสาวของผู้แสดงรุ่นใหญ่ “กรุง ศรีวิไล” มีลักษณะวูบขณะที่กำลังขับรถ ทำให้รถเสียหลัก พุ่งชนรถ ที่หยุดอยู่ริมทาง เกิดความเสียหาย รวม 8 คัน ณ บริเวณหน้าร้านข้าวต้ม ริมทางพัทยากลาง จ.ชลบุรี

แต่โชคดี ที่ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ ปัจจุบันวันนี้ (18 ธันวาคม) ในงานประกาศรางวัล ไทยแลนด์ ดิจิทัล อวอร์ด 2022 ครั้งที่4 (Thailand digital Awards 2022) เจ้าตัวก็ได้ออกมาสัมภาษณ์กับสื่อ รับรองมิได้เมาแล้วขับ เป็นสิ่งที่ไม่คาดคิด รวมทั้ง ในช่วงเวลานี้ ยังตกใจอยู่

นาย ใบเฟิร์น หนุ่ม กรรชัย

หนุ่ม กรรชัย ออกตัวไม่ใช่พ่อสื่อ เพียงแค่เปิดทาง ลุ้น “นาย-ใบเฟิร์น” ไปถึงฝั่งฝัน

หนุ่ม กรรชัย ออกตัวไม่ใช่พ่อสื่อ แค่เปิดทางให้ ลุ้น “นาย-ใบเฟิร์น” ไปถึงฝั่งฝัน

กลายเป็นพ่อสื่อ ของคนในวงการบันเทิงไปแล้ว สำหรับพิธีกรคนที่ใครๆก็รู้จัก หนุ่ม กรรชัย กำเนิดพลอย ที่ล่าสุด ทำหน้าที่เป็นกามเทพสื่อรัก เปิดทางให้คู่ “นาย-ใบเฟิร์น” ได้เรียนรู้หัวใจกันแล้ว ภายหลังจากนี้ก็ลุ้น ให้ทั้งสองไปถึงฝั่งฝัน

โดย หนุ่ม กรรชัย ที่มาร่วมงาน “GQ MEN OF THE YEAR 2022” เปิดใจถึงความรัก ของ นาย ณภัทร แล้วก็ ใบเฟิร์น พิมพ์ชนก ที่ตนเชียร์มานาน รวมทั้งเห็นว่าทั้งสองเหมาะสมกันมากมาย ในเวลาเดียวกันนี้ออกตัวว่า ไม่ได้เป็นพ่อสื่อ แค่ทำหน้าที่เปิดช่องทาง หลังจากนี้เป็นเรื่องของคนสองคน ได้ศึกษาหัวใจกัน

หนุ่ม กรรชัย

กลายเป็นพ่อสื่อ ได้สำเร็จแล้ว?

“คือจริงๆ แล้วอย่าเรียกว่า เป็นพ่อสื่อเลยเนอะ คือพอดีว่า น้องนายก็เป็นเหมือนลูกเรา เราเห็นเขา มาตั้งแต่อยู่ในท้อง จนกระทั่ง เขาโตมา เราก็เคยสัมภาษณ์เขา วันหนึ่งเขามีความรัก เขาก็ปรึกษา เพราะเราก็อยู่กับเขาตลอด ในเวลาที่เราขับรถ ไปกิน ไปนอน อยู่ด้วยกัน

เขาก็ปรึกษาว่า เขาควรจะเริ่ม แบบไหนดี มันควรจะเป็นยังไงดี ซึ่งตัวเราเอง ก็จากประสบการณ์ที่เคยมี เหมือนกับพ่อ แนะนำลูก ไม่ใช่พ่อสื่อหรอก ว่าจริงๆ แล้ว ก็ต้องคิดให้ดี เพราะเรากับฝ่ายหญิง ก็เป็นเพื่อนกันมานาน เพราะฉะนั้นก็ต้องระวัง ตรงนี้ด้วย มันจะละเอียดอ่อน มากกว่าคู่อื่นๆ

เพราะถ้าเกิดว่า เข้าไปผิดทาง แล้วฝ่ายหญิง เขาไม่ได้รู้สึกแบบนั้นเนี่ย มันเสียเพื่อนทันที นายเขาก็รับรู้ เขาถามว่าจะยังไง ทางเราก็บอกว่า ต้องลองโยนหิน ถามทาง ต้องดูว่าบางสิ่งบางอย่าง ที่เราพูดไป เขาตอบสนองไหม ถ้าคิดว่าเขาตอบสนองเราดี แล้วเป็นอย่างที่เราคิดก็ลุยเลย”

ตอนเขามาขอคำแนะนำ เขาเครียดไหม? “เขาไม่เครียดครับ ก็มาปรึกษาแบบสบายๆ นั่งคุยกัน เพราะนายเป็นเด็กน่ารักอยู่แล้ว ส่วนตอนนี้ มันก็เป็นมุมของเขาแล้ว ต้องไปสัมภาษณ์เขา แต่ในมุมของเรา เราก็รู้สึกดีใจ เพราะว่าเอาจริงๆ คือกับใบเอง (ใบเฟิร์น พิมพ์ชนก) ผมก็แฮปปี้ กับเด็กคนนี้มานาน แล้วก็รู้สึกว่าเด็กคนนี้น่ารัก

เขาเป็นคนที่ต่อสู้ คือเท่าที่เคยสัมภาษณ์น้องมา แล้วก็เห็นในมุมมองต่างๆ ผมก็เชื่อว่า สองคนนี้เขาเหมาะกันมาก แล้วเราเองก็แอบเชียร์ ตั้งแต่ตอนแรก ที่เขาเป็นเพื่อนกัน เคยบอกนายด้วยซ้ำ ว่าทำไมไม่จีบเลย เขาก็บอกว่าผมยังไม่ค่อยกล้า จนกระทั่งวันหนึ่ง เขาตัดสินใจบอกเรา ว่าเขาอยากจะเปลี่ยนแปลงสถานะแล้วนะ เขาอยากจะเดินหน้าแล้ว เราก็สนับสนุน”

ถ้าเกิดวันหนึ่ง เขาเป็นแฟนกัน ต้องมาหาพ่อหนุ่มไหม? “เขาต้องมาอยู่แล้ว ยังไงเราก็ต้องได้เจอกันอยู่แล้ว เป็นธรรมดา เพราะเราอยู่ด้วยกัน เราทานข้าวด้วยกัน เรานัดเจอกันบ่อยๆ อยู่แล้ว”

ปัจจุบันเขาก็ไปเยาวราชกัน ไปลงต้นไม้ที่บ้านกัน? “ตอนนี้มันก็เป็น โลกของสองคนก่อนไง ไปไหนมาไหน ก็ต้องไปด้วยกันก่อน เราจะไปอยู่ตรงนั้น ก็คงไม่ใช่ แต่เราไม่ได้แซวๆ”

คุณ หนุ่ม กรรชัย ได้คุย กับ แม่หมู ไหม? “แม่หมูต้องยิ้ม แก้มแตกอยู่แล้วล่ะ”

ส่วนตัวสำหรับเราฟินไหม เห็นเขาให้สัมภาษณ์ทั้งคู่? “โอ้โห มากๆ เพราะตอนแรกก็ลุ้นอยู่ ว่าสองคนจะพูดแบบไหน นายเขาก็สุภาพบุรุษนะครับ เพราะสิ่งที่เขาพูดออกมาวันแรก มันก็เป็นการเปิดทาง แล้วก็ไม่ได้เป็นการพูดอะไร ที่เป็นการมัดมือชก ฝ่ายหญิง ให้เกียรติฝ่ายหญิง ส่วนฝ่ายหญิงเองเนี่ย เราก็ได้มีการคุย กับน้องว่า ใบน่ารักมากเลยนะ เป็นภาษากายที่น่ารัก”

นายก็ขอบคุณ ที่เปิดทางให้? “ไม่หรอกครับ คือเรายินดี เพราะว่ามันเป็นเรื่องที่ดีๆ คือเรื่องของความรัก”

หลังจากที่อยู่ในสถานะ เรียนรู้ดูใจกัน เขาได้มีมาขอคำแนะนำเพิ่มไหม? “ไม่แล้วครับ เราก็คงจะแค่ตรงนี้ อย่างที่บอกไป คือเส้นทางเราก็แนะนำได้ แต่ว่าจุดหมายเนี่ย ต้องไปให้ถึงเอง”

พ่อต้องการเห็นลูก ถึงฝั่งเร็วๆ ไหม? “แน่นอน (ยิ้ม) คือเขา มีความรักกัน ไปถึงฝั่งได้ ก็ยิ่งดี ถามว่ามีวี่แวว ที่จะถึงฝั่งไหม อันนี้ ตอบไม่ได้ อยู่ที่เขา มันก็ต้องดูๆ กันไป ค่อยๆ เรียนรู้กันไป เราจะไปบอกว่า เขาถึงฝั่งแน่ ก็คงไม่ใช่ เพราะมันเป็นเรื่อง ของการเรียนรู้”

“นาย” ไปกดไลก์โพสต์ของ “หมอช้าง” ที่พูดว่าดวงของนาย จะได้พบเจอแฟนเร็วๆ นี้? “อันนี้ไม่รู้เหมือนกัน ไม่ได้คุยกันเรื่องนี้”

คู่ต่อไป เชียร์คนไหนเป็นพิเศษไหม? “โอ้ย (หัวเราะ) ไม่รู้เหมือนกัน เอาจริงๆ คือไม่ค่อย อยากจะพูด เรื่องพวกนี้เลย เราก็คิดอยู่นาน ในการที่จะพูด หรือหลุดปาก จริงๆ ถามว่าหลุดไหม กึ่งๆ มันก็ค้างคาใจ อยู่แหละ เพราะเรารู้สึกว่า ถ้าเราไม่เปิด วันนี้ มันไม่มีโอกาส ที่จะช่วยเปิด แล้วนะ เพราะวันนั้น มันมีข่าวเรื่องนี้พอดี”

จะแฮปปี้เอนดิ้งไหม? “ก็ดูตามภาพ ให้ภาพมันเล่า แล้วกัน (หัวเราะ)”

Avatar

รีวิวหนัง “Avatar: The Way of Water” วารีคู่กับเจมส์ คือ 3 ชั่วโมง เลอค่าที่รอมา 13 ปี

และแล้วก็มาถึงคิวของหนังที่มีแฟนๆแล้วก็คอหนังคงจะตั้งตาคอยกันอีกหนึ่งเรื่องในปีนี้ การกลับมาสานต่อการเดินทางของจักรวาลแพนดอร่าอีกรอบ กับปรมาจารย์นักสร้างหนังชั้นครูกลับมาเอง เนรมิตสร้างออกมาเป็นภาคต่ออันแสนเลอค่า ” Avatar : The Way of Water – อวตาร: วิถีแห่งสายน้ำ “ งานระดับบ็อกซ์บัสเตอร์ล้ำลึกที่กลับมาอยู่ในมือของคนที่คู่ควร ฉะนั้นนี่ก็เลยกลายเป็นที่คุ้มกับการคอยมา 13 ปีจริงๆ

Avatar : The Way of Water เล่าเรื่องราวต่อจากภาคต้นฉบับ กับอีกนับเป็นเวลาหลายปีต่อมา เจค ซัลลี ได้ก่อร่างสร้างครอบครัวของเขาเองอย่างสงบสุขบนดาวแพนดอร่า แต่ว่าปรากฏว่าครอบครัวของซัลลี จะต้องมาเจอหน้าอีกรอบกับปัญหาที่ย้อนกลับตามมาประชิด เมื่อพวกเขามุ่งหน้าขจัดอุปสรรคที่จะเป็นภัยคุกคามเพื่ออยู่รอด แล้วก็ปกป้องกันและกันให้ปลอดภัยจากอันตราย ภายหลังจากโศกนาฎกรรมที่พวกเขาจะต้องก้าวผ่านมันมาด้วยกัน

เพราะว่าชื่อของ “เจมส์ คาเมรอน” จะออกผลงานมานานๆครั้ง แม้กระนั้นออกมาทีไรก็ต้องยกระดับแล้วก็มาตรฐานให้กับวงการหนังทุกหน แล้วก็แน่ๆว่าในครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน เจมส์ คาเมรอน ยังคงรู้จักแนวทางแล้วก็จังหวะสำหรับในการสร้างสรรค์ผลงานได้ระดับเทพสร้าง เขารู้ดีว่าต้องทำอะไร แล้วก็จะต้องทำแบบไหนที่คนดูจะต้องการบริโภค อีกทั้งชิ้นงานในทุกๆรายละเอียดที่เขาประดิษฐ์ออกมานั้น ก็ไม่สามารถจะสบประมาทอะไรอะไรก็แล้วแต่ได้เลย เนื่องจากว่าทุกอย่างเต็มไปด้วยความปราณีต

Avatar The Way of Water

บางครั้งอาจจะกล่าวได้เลยว่า Avatar : The Way of Water เป็นสุดยอดภาพยนตร์ฮอลลิวูดอีกเรื่องในรอบทศวรรษเลยทีเดียว

เนื่องจากว่าจำไม่ได้แล้วว่าเคยมีประสบการณ์นั่งดูหนังแล้วรู้สึกว้าวแล้วก็ตระการอะไรอย่างนี้ นานสักเพียงใดแล้ว หนังเรื่องนี้สามารถเรียกย้อนบรรยากาศเหล่านั้นกลับมาได้อย่างอิ่มเอม คือเพียงแค่ซื้อตั๋วมานั่งดูงานสร้างของหนังเรื่องนี้โดยเฉพาะ ก็พูดได้ว่าคุ้มตั๋วไปเรียบร้อยแล้ว

Avatar:The Way of Water เต็มไปด้วยเทคนิคพิเศษอันแพรวพราว ด้วยความสามารถของนักสร้างสรรค์ที่ถนัด แล้วก็ช่ำชองกับงานด้านนี้โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทำให้ช่วงเวลา 3 ชั่วโมงของหนังเรื่องนี้ไม่ใช่อุปสรรคเลย เป็นหนังอีกเรื่องที่ทำให้มีความรู้สึกไม่ต้องการที่จะอยากลุกไปไหน อาการปวดฉี่ไม่เกินระหว่างทาง บางทีอาจเพราะว่ากลัวจะพลาดช็อตเด็ดๆ แล้วก็สวยงาม ของหนังเรื่องนี้ ที่อัดแน่นเต็มหน้าจอ ทั้ง 190 นาทีของหนังก็ว่าได้

แน่ๆว่าเทคนิคงานสร้าง ของหนังเรื่องนี้ คงต้องให้คะแนน 100 เต็ม 10 อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทุกองค์ประกอบงานสร้าง ของหนังเรื่องนี้ คือความดีงามที่มาอุดรอยรั่วต่างๆของหนังได้อย่างสมูบรณ์แบบ สิ่งที่คุณเห็นในตัวอย่างหนังนั้น เป็นเพียงแต่เสี้ยวเล็กๆเท่านั้น เนื่องจากว่าเนื้อในนั้นจะพาคนดูออกไปสำรวจอีกมุมของดาวแพนดอร่า ทั้งน่าละลานตา แล้วก็ตื่นใจไปพร้อมๆกัน จะต้องยืนขึ้นปรบมือ ให้กับทีมออกแบบเทคนิคพิเศษให้กับหนังเรื่องนี้ เนื่องจากว่า นี่คือหนังที่ทำให้พวกเราน้ำตาปริ่มได้ กระทั่งฟองออกอากาศในน้ำลอยผ่านหน้าไปบนหน้าจอ

แต่ว่าเดี๋ยวจะหาว่า อวยหนังAvatar:The Way of Water เกินความจำเป็น เนื่องจากว่าจริงๆหนังก็ยังมีช่องโหว่ แล้วก็รอยรั่ว ผสมปนเปอยู่บ้าง เหมือนกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โครงเรื่อง แล้วก็บทหนังที่ค่อนจะเพลย์เซฟไปสักนิดสักหน่อย มาด้วยพล็อตหนังแบบง่ายๆธรรมดาๆ ที่คนดูคงจะเดาได้ง่ายๆ แต่เส้นเรื่องของหนัง ก็แข็งแรง แล้วก็หนักแน่นดี ตลอดทั้งเรื่อง แล้วก็เมื่อมาได้ความอลังการของงานสร้างนี่แหละ ที่มาช่วยอุดปะรอยรั่วนี้ให้เรียบเนียน แล้วก็มาข้ามไปได้อย่างอรรถรสเลยทีเดียว

โดยจะว่าไปแล้วAvatar: The Way of Water คงจะถูกปรับสัดส่วน ให้กลายมาเป็นหนังที่มีส่วนผสมของความเป็นหนังครอบครัว แล้วก็หนังวัยรุ่น สไตล์ coming of age เพิ่มมากขึ้นหน่อยๆ เนื่องจากว่าด้วยนักแสดงที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งยังเป็นการดำเนินเรื่องด้วยการผจญภัยในดินแดนใหม่ๆ ที่น่าละลานตา ทำให้คนดูได้มีโอกาสสัมผัสได้แล้วว่า ดาวแพนดอร่าดวงนี้ค่อนข้างกว้างขวาง แล้วก็นี่ก็คือ เป็นเพียงแค่ส่วนเดียว ของเรื่องราวที่เกิดขึ้นบนดาวดวงนี้เท่านั้น

ทางด้านการแสดง ก็จะต้องบอกว่าไว้ใจได้ ถึงแม้ว่าพวกเราจะไม่ค่อยได้คลุกคลีกับคาแรกเตอร์ที่เป็นมนุษย์มากมายสักเท่าไหร่ ในเรื่องนี้ แต่ว่าพวกเขา ทุกผู้แสดง ก็คือผู้แสดงปกติที่มาแสดงบทบาทนั่นแหละ พวกเขาถ่ายทอดออกมาได้ดี จนถึงบางคราวก็หลงๆลืมๆไป ถึงว่าเป็นอวตารตัวจริง “แซม เวิร์ธธิงตัน”, “โซอี ซัลดานา” หรือ “สตีเฟน แลงก์” นับว่าทำหน้าที่ของพวกเขาได้อย่างแจ่มแจ้งดีอีกรอบ

ในเวลาที่ ทีมผู้แสดงสมทบ ที่เพิ่งจะเข้ามาเสริมในภาคนี้ ไม่ว่าจะเป็น “เคต วินสเลต” หรือ “คลิฟฟ์ เคอร์ติส” ถือว่าเป็นการส่งเสริมองค์ประกอบการแสดงที่ค่อนข้างน่าประทับใจ แล้วก็ที่ไม่เอ่ยถึงไม่ได้ ก็คือเหล่าผู้แสดงเจนใหม่ “เจมี่ แฟลตเตอร์ส”, “บริเตียน ดอลตัน”, “แจ็ค แชมป์เปียน” หรือ “เบลีย์ บาส” ถือเป็นส่วนเสริมที่มาช่วยเติมเต็มชีวิตชีวาให้กับหนังภาคนี้ ให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้นได้ดีด้วย

อวตาร วิถีแห่งสายน้ำ

ยิ่งกว่านั้น เชื่อว่าคนดูคงจะสัมผัสได้ถึงสารข้อความ บางสิ่งบางอย่างที่ เจมส์ คาเมรอน พยายามสื่อสารออกมาในหนังเรื่องนี้

Avatar:The Way of Water ไม่ว่าจะเป็นการดำรงชีวิตตามมาวิถีเริ่มแรกของชนเผ่า หรือจะเป็นสะท้อนปัญหา การรุกรานระบบนิเวศ ของเผ่าพันธุ์สัตว์น้ำ ที่หนังนี้ได้หยิบใส่ประเด็นเหล่านี้ลงไปเป็นข้อความที่ค่อนข้างชัดเจน แล้วก็อย่างน้อยๆ ก็ยังคงแสดงให้เห็นอีกเหมือนเคยว่า มนุษย์ ในสายตาจากสิ่งมีชีวิตอื่น ก็ถูกมองไม่ต่างไปจากผู้รุกราน แล้วก็ผู้ทำลายดีๆนี่เอง

ฉะนั้นบางครั้งอาจจะปฏิเสธไม่ได้เลยว่าAvatar:The Way of Water เป็นอีกหนึ่งหนังที่ยอดเยี่ยมที่สุดในรอบปีนี้ เหมาะสมที่สุดเกือบจะทุกๆด้านของหนังที่ร้อยเรียงออกมา เป็นการกลับมาที่คุ้มกับการคอย อีกทั้งยังเป็นกำไรให้กับคนดูอย่างดีเยี่ยม ที่ได้สัมผัสกับประสบการณ์ดูหนังที่อิ่มเอมใจไปตลอดทั้ง 3 ชั่วโมงเต็ม เมื่อดูหนังเรื่องนี้จบ ก็คงจะเต็มไปด้วยความประทับใจ กับฉุกคิดขึ้นได้ว่า น้ำ กับ เจมส์ คาเมรอน ช่างเป็นส่วนประกอบที่พอดีที่จะมาอยู่คู่กันอีกจริงๆ

แล้วก็ที่สำคัญมากๆ หนังเรื่องนี้ควรค่าแก่การดูบนจอยักษ์ไอแม็กซ์เป็นที่สุด!

ข้อมูลเกี่ยวกับหนัง Avatar:The Way of Water

ประเภท : แอคชั่น / ผจญภัย / แฟนตาซี
ผู้กำกับ : เจมส์ คาเมรอน
นำแสดงโดย : แซม เวิร์ธธิงตัน, โซอี ซัลดานา, ซิกัวร์นีย์ วีเวอร์
ความยาว : 192 นาที
ระบุฉายในไทย : 14 เดือนธันวาคม 2022 (ในโรงภาพยนตร์)

นิวเคลียร์

“นิวเคลียร์” เปิดใจคุยชายหนุ่มรุ่นน้อง ไม่รีบชี้สถานะ ยอมรับกลัวผิดหวังอีก!

“นิวเคลียร์ หรรษา” เปิดใจคุยชายหนุ่มรุ่นน้อง ไม่รีบเจาะจงสถานะ ชื่นชอบฝ่ายชายเป็นคนดี แบบที่ไม่เคยเจอมาก่อน

หัวใจเริ่มกลับมากระฉับกระเฉงแล้ว สำหรับคุณแม่คนสวย นิวเคลียร์ หรรษา หลังมีข่าว ดักซุ่มคบชายหนุ่ม หล่อนอกวงการ แถมเพิ่งควงกันไปเที่ยวประเทศอังกฤษ ทริปล่าสุด

เมื่อมีโอกาสพบเจ้าตัวในงาน Grand Opening DBS เดินหน้าขยายฐานการศึกษา-เปิดอาคารเรียนใหม่ รองรับนักเรียนระดับ ม.ปลาย (Senior school) ก็เลยได้สอบถามถึงข้อความสำคัญเปิดใจมีรักครั้งใหม่แล้ว จริงหรือไม่

นิวเคลียร์ หรรษา

โดย นิวเคลียร์ หรรษา เปิดเผยว่า

“เราก็ไม่ได้ปิด และใครเข้ามาเราก็ไม่ได้ปิดจริงๆ เหมือนเรายังหวงพื้นที่ข้างๆ เราอยู่ใช่มั้ย เราเพิ่งจะหย่า เราเพิ่งจะโสดได้ 2-3 ปี เพราะฉะนั้น ใครที่เข้ามา เราก็ไม่อยากรีบทั้งนั้นเลย แล้วคนที่เข้ามาก็ต้องเข้าใจด้วยว่า เรายังไม่พร้อม เรายังไม่รีบ ถ้าจะคุย คุยได้ ศึกษากันได้ แต่อย่ามาคั้นให้เราต้องรีบคบ”

“ส่วนเรื่องเลิกกับอดีตสามีแล้ว แต่ยังอยู่บ้านเดียวกัน จะเป็นปัญหากับรักครั้งใหม่มั้ย ไม่นะคะ ไม่มีปัญหา อย่างพี่เพชรพาใครมา นิวก็ไม่เคยที่จะแบบ ห้ามพาเข้ามานะ ไม่ได้มันเป็นสิทธิของเขา เราก็มีขอบเขตด้วย ไม่ใช่แบบ อุ้ย คนนั้นเราคุยพามาบ้านเลย ไม่ใช่ ไม่ได้เป็นอย่างนั้น”

“รูปหนุ่มที่เอาให้ดู เป็นรุ่นน้อง ไปอังกฤษด้วยกันค่ะ คือไม่ได้ไปกันสองคน มีเพื่อนอยู่ที่โน่นด้วย ก็ไปเจอกัน น้องน่ารัก ก็เป็นกลุ่มแก๊งเพื่อนที่ไปดำน้ำด้วยกัน ถามว่าเขาจีบเรามั้ย เขาก็จีบค่ะ(หัวเราะ) เราเป็นคนพูดตรงๆ อยู่แล้ว เขาจีบก็จีบ เราก็ไปแล้วไง ใครเข้ามาเราก็คุยก็เปิดใจ แต่มันยังไม่ใช่ เราก็ไม่บอกว่าคบว่าเป็นแฟน วันนึงถ้ามันใช่ วันนึงถ้าพร้อมแล้ว เราอยากคบกับคนนี้ เราอยากไปยาวกับเขาแล้ว เราก็จะบอก”

“คนนี้รู้จักกันจากทริปดำน้ำ ก็เป็นเพื่อนกัน เพื่อนๆ กันก่อนดูกันไปเรื่อยๆ (หัวเราะ) ถามว่าเขามาสารภาพกับเราหรอ เฮ้อ บางทีมันไม่ต้องพูดไง บางทีก็รู้ได้โดยที่เราไม่ต้องพูดใช่มั้ย ถามว่ารู้จักกันมานานหรือยัง โอ้ ก็รู้จักเป็นปีได้แล้วค่ะ เป็นแก๊งเพื่อน “ถ้าดูในสตอรี่เวลาไปกับแก๊งเพื่อน ก็จะมีเขาอยู่ด้วย”

“ไทก้ามีได้เจอค่ะ ไทก้าก็ชอบ เขาก็เล่นกับเด็กเก่ง ถือว่าสอบผ่าน เรื่องการเข้ากับเด็ก แต่ยังไม่ได้เป็นอะไรนะคะ(หัวเราะ) ยังไม่รีบ เราก็ไม่ได้บอกให้เขามาโฟกัสที่เราคนเดียวด้วยนะ จะไปคุยกับใคร จะมีใคร ก็เอาเลยนะ พี่เพิ่งโสดเองจ้าน้อง”

“น้องเขาอายุ 26 ค่ะ ไปดำน้ำด้วยกัน เขาเหมือนเป็นครูดำน้ำเรา ส่วนเหตุผลที่ตัดสินใจคุยกับเขา เพราะเขาเป็นคนดี ดีแบบดีมาก เกิดมายังไม่เคยเห็นใครที่สุภาพ แล้วคนดีขนาดเขา แล้วทุกคนพูด ไม่ใช่แค่เรา ตอนไปดำน้ำทุกคนบนเรือก็แบบ เอ้ย คนนี้แม่งโคตรดีเลยว่ะ ทำไมเขาเทคแคร์ทุกคนดีขนาดนี้ คำหยาบก็ไม่พูด เรียบร้อย ทำการทำงาน ไม่ค่อยเที่ยว ก็คือดีมาก แล้วอยู่นอกวงโคจรเราไปเลยด้วย ไม่ใช่คนในวงการ”

เปิดใจ นิวเคลียร์ หรรษา

“ถามว่ามีแนวโน้มมั้ย ไม่รู้ค่ะ คุยๆ ไปก่อน(หัวเราะ) ไม่รีบค่ะ อย่าบล็อกหนูสิ เดี๋ยวคนอื่นก็ไม่เข้ามาจีบแล้วนะ ส่วนที่ก่อนหน้านี้ เคยบอกว่าชอบผู้ใหญ่ ก็ตามวัยแหละ พอเราโตขึ้น คนอายุเยอะกว่า เขาก็ไปจีบเด็กๆ แล้วไง(หัวเราะ) ไม่หรอก เด็กก็น่ารักดี”

“ไม่ได้ตั้งสเป๊กเลย มาเอง รู้สึกว่าเขาน่ารักดี ก็เลยเปิดใจลองคุย เขาก็บอกเรา ไม่ต้องมาคุยกับเขาคนเดียวนะ ยูจะคุยกี่คน ยูศึกษาใคร มันคือชีวิตของยู เราก็ เออ เหมือนกัน อาจจะเป็นเหมือนเพื่อน แต่อาจจะพิเศษกว่าเพื่อนคนอื่นหน่อย นิดนึง แต่ก็ยังอยู่ในเลเวลเพื่อนอยู่”

“เพื่อนๆ รอบข้างก็เชียร์ จะมีกลุ่มเชียร์กับกลุ่ม มึงอย่าเพิ่งรีบนะ มึงต้องใช้ชีวิตโสดกับกูก่อน กับเพื่อนที่เขาดีมาก เขานี่แหละ เหมาะกับมึงมาก มึงไม่เคยเจอใครดีขนาดนี้แน่ๆ”

“ตอนแรกก็ตั้งเป้าไว้เหมือนกันว่า หลังจากเลิกกับพี่เพชร จะให้เวลาตัวเอง ประมาณ 5 ปี นานไปปะ เอาจริงๆ นี่ก็ 2 ปีแล้วนะ มันไม่อยากมีความสัมพันธ์ มันเหนื่อย กลัวด้วยแหละ เอาจริงๆ นิวไม่เคยโสดมา 13 ปีแล้ว”

“ถามว่าเรากลัวความผิดหวัง เรื่องความรักเลยไม่อยากรีบเปิด ใช่ ด้วยอะไรหลายๆ อย่าง พ่อแม่ก็บอกว่างั้นใจเย็นๆ ก่อนนะ ตอนนี้เขาก็เป็นเพื่อน เป็นลุงคนนึงของไทก้า พี่เพชรก็เจอ บอกน้องเขาน่ารักดี ดูเป็นคนดีมากๆ เลย สรุปยังเป็นเพื่อน ที่คุยๆ น้องน่ารักค่ะ”

เจนี่

ลูกทำให้เปลี่ยนไป “เจนี่” เลี้ยงเอง 24 ชม. ไม่คาดหวัง ไม่ต้องการให้ลูกโดนสปอย

ลูกทำให้เปลี่ยนไป ” เจนี่ ” เลี้ยงเอง 24 ชั่วโมง ไม่คาดหวัง ไม่ต้องการให้ลูกโดนสปอย เปิดใจ “เจนี่” ถึงหน้าที่ การเป็นคุณแม่ เลี้ยง “น้องโนล่า” วัย 3 ขวบ ด้วยตัวเอง ไม่มีพี่เลี้ยง ไม่คาดหวัง ไม่กดดันลูก เปิดเผยลูกสาวทำให้ตนเองเปลี่ยนไป คิดมากขึ้น นิ่งมากขึ้น นึกถึงลูกตลอดเวลา ไม่ต้องการให้ลูกโดนสปอย จากคนรอบข้าง เพราะเหตุว่าเป็นลูกเจนี่

เรารักเด็กก็จริง แต่ภาพความเป็นแม่ของเราต้องการดีไซน์เป็นแบบไหน?
“ไม่เคยคิดเลย ว่าการที่เป็นแม่จะรักเด็กหรือว่ารักลูกในท้องของเราจริงๆ เป็นยังไง แต่วันนี้รู้แล้วว่าความหมายของคำว่าแม่คืออะไร”

คุณแม่ดาราบางบุคคลมักจะเครียดว่าจะเลี้ยงลูกออกได้ดีไหม?
“เจนไม่เครียดเลย เพราะเจนรู้สึกว่าการที่เราเลี้ยงลูกเครียดๆ ชีวิตเด็กก็จะเครียดด้วย ให้เขาเป็นตัวของตัวเองสนับสนุนความฝันเขา และก็อยู่กับเขาเคียงข้างเขาเป็นเพื่อนกัน คือเจนไม่คิดว่าเราจะต้องเลี้ยงแบบเป็นแม่ที่จะต้องบอกลูกอย่างนั้นอย่างนี้ เจนจะไม่ เจนจะไม่ชี้นำทางว่าหนูต้องอย่างนั้นหนูต้องอย่างนี้ เพียงแต่ว่าอะไรที่มันนอกกรอบ เราก็แค่ตบให้มันอยู่ในกรอบ แต่อะไรที่เขาจินตนาการ หรือว่าเขาคิดเองเจนจะพลักเขาไปให้สุดในสิ่งที่เขาใฝ่ฝันค่ะ”

โนล่ามีแววจะไปทางไหน?
“โนล่าเหรอเจนว่าเก่งกีฬา แต่ก็เปลี่ยนทุกวันอีกนะ เพราะเขาชอบเต้น ชอบมาก ชอบพี่ลิซ่าแบล็กพิ้งมาก คือแบบงงมากว่าแบล็กพิ้งต้องมีอะไรที่เป็นจิตวิทยาที่เด็กสามารถที่จะจับได้ แล้วโนล่าจำท่าเต้นได้ตั้งแต่อายุขวบกว่า เขารู้จักพี่ลิซ่าเลยนะ เห็นป้ายพี่ลิซ่าชี้เลย พี่ลิซ่า แล้วก็เต้นเพลงพี่ลิซ่าเต้น ขึ้นเต้นเหมือนเป็นท่าของพี่ลิซ่า เขาจำได้เลยนะ”

น้องไนล่า เจนี่

เจนี่ ได้เปิดให้ดู หรือได้สอนเขาหรือเปล่า?

“แม่ก็คือชอบเพลง แม่ก็เปิดทุกเพลงฮิปฮอปก็ชอบหมด คือเจนอยากให้เขาอยู่กับเสียงเพลง เจนไม่ค่อยชอบทฤษฎี เจนชอบปฏิบัติ เจนว่าคนเราถ้าไม่มีทฤษฎีก็จะปฏิบัติ อย่างเจนปฏิบัติเรารู้สึกว่า ถ้าเราทฤษฎีเยอะๆ เราจะเครียด แล้วเรารู้สึกว่าโลกมันเครียดแล้วค่ะ แต่ถ้าเราปฏิบัติเยอะๆ มันเหมือนเราจะสนุก เราจะได้เรียนรู้แล้วอยู่กับอะไรที่มันใหม่ๆ”

เราไม่ได้เลี้ยงลูกตามตำราเป๊ะๆ?
“ไม่มีอะไรเป๊ะเลย ไม่ต้องตามตำราด้วย เจนว่าตำราคือการที่เราเป็นแม่จริงๆ เราเขียนขึ้นมาเองดีกว่า เพราะเราจะรู้มากที่สุดว่าลูกเราต้องการแบบไหน แล้วเราปรับเปลี่ยนตามความรู้สึกและก็ใช้กับชีวิตจริงๆ”

เมื่อเรามากก็มีความคาดหวังเจนี่เป็นแบบนั้นไหม?
“คือลึกๆ เจนก็รู้สึกนะ ว่าแบบเราคาดหวัง แต่เจนก็ไม่อยากให้ความคาดหวังของเรากลายเป็นความกดดันของลูก เพราะว่าเจนมีลูกคนเดียว ถ้าเขาโตขึ้นเจนไม่อยากให้เขารู้สึกกดดัน และรู้สึกว่าแม่อยากจะให้เราเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ เจนจะไม่ เจนจะเลี้ยงให้เขารู้สึกว่าเขาคือเพื่อนของเรา มีอะไรคุยกับเราได้ทุกเรื่อง”

อะไรที่แม่เลี้ยงเรามาแล้วต้องการถ่ายทอดให้กับเขา?
“ความเป็นเพื่อนค่ะ คือมามี๊จะคุยกับเจนหรือว่าดูแลเจนเหมือนเป็นเพื่อนกัน มีอะไรปรึกษากันได้ เจนก็จะรู้สึกว่าอยากที่จะเป็นอย่างนั้นกับโนล่าค่ะ”

อาชีพแม่เหน็ดเหนื่อยไหม?
“เหนื่อยค่ะ ทำไม่ได้ ลาไม่ได้ ตายไม่ได้ มันเหนื่อยจริงๆ แต่ว่ามันเป็นเหนื่อยที่มีความสุข และเราก็รู้สึกว่าเราพร้อมที่จะเหนื่อยกับมัน 24 ชั่วโมงค่ะ”

พอเราได้มีลูกเขามาเปลี่ยนแปลงความคิดเราไหม?
“เปลี่ยนค่ะ เจนมองอะไรที่ละเอียดขึ้น และก็นิ่งมากขึ้น คิดมากขึ้น พอเหมือนเรามีลูกเราจะทำอะไร เราจะพูดอะไร เราจะนึกถึงเขาตลอดเวลา”

จริงๆระหว่างทางที่เลี้ยงลูก มันเหน็ดเหนื่อยกระทั่งลืมว่าเจนี่อยากได้อะไร เคยถามตนเองบ้างหรือเปล่า?
“เจนเลยจุดนั้นมาแล้วค่ะ เพราะเจน 41 ปีแล้ว เรารู้แล้วว่าชีวิตนี้เขาคือที่หนึ่ง แล้วนี่คือสิ่งที่เราใฝ่ฝันมาตลอด การที่เราจะเลี้ยงเด็กคนนึงให้มีคุณภาพ ให้ดีที่สุด มันคือหน้าที่ของเรา”

การมีโนล่าไม่ได้มาเบียดความเป็นเจนี่ แต่เข้ามาเติมเต็มให้เจนี่สมบูรณ์มากขึ้น?
“เข้ามาเติมเต็มความรู้สึกทุกสิ่งทุกอย่าง ที่เจนรู้สึกว่าเจนไม่เคยได้รับ เจนขาดหาย ทุกความอบอุ่น ทุกความรัก คือทุกอย่างเลยเขาเหมือนทำให้เจนรู้เลยว่าชีวิตนี้เจนหยุดหายใจไม่ได้”

พอมีลูกความเป็นชีวิตคู่มันหายไปไหม?
“เจนกลับมองว่ามันกลายเป็นทีมแล้วค่ะ มันเป็นทีมที่เหมือนเราต้องซัพพอร์ตกัน ต้องเข้าใจกัน และเราก็ต้องช่วยกันที่จะดูแลคนๆ นึงให้เติมโตมาอย่างมีคุณภาพชีวิตที่ดีค่ะ”

แบ่งหน้าที่กันเช่นไร?
“เราแบ่งกันลงตัวมาก คือเหมือนเจนกับมิกจะรู้หน้าที่เลย ถ้าช่วงเช้ามากๆ มิกเขาจะยุ่ง เจนก็อาจจะดูแลลูก ช่วงบ่ายเจนจะยุ่งเพราะต้องมาทำงาน ก็จะเป็นหน้าที่ของพ่อแล้ว”

เพราะอะไรเราถึงเลือกเลี้ยงไม่มีพี่เลี้ยงเลย?
“เราจะรู้ใจลูกมากที่สุด แล้วเจนเป็นคนที่ เราตั้งใจที่จะมีเด็กคนนึงให้เกิดมาในชีวิตเราแล้ว เจนไม่อยากให้ใครก็ไม่รู้มาอุ้มลูกเรา แล้วก็ไม่อยากให้คนอื่นมาเปลี่ยนแพมเพิสลูกเรา เราอยากที่จะดูแลเขา เราอุ้มท้องเขามาได้ 9 เดือน แล้วทำไมเราจะดูแลเขาด้วยมือของเราสองมือไม่ได้

เจนตั้งใจตั้งแต่แรกแล้วว เจนปฏิญาณว่าจะไม่มีพี่เลี้ยง และไม่มีเพื่อนคนไหนเชื่อด้วยว่าเจนจะสามารถเลี้ยงลูกโดยไม่มีพี่เลี้ยงได้จนถึงทุกวันนี้ ไม่มีเพื่อนคนไหนเชื่อ แม้กระทั่งนานา นานายังคิดเลยบอกเพื่อนต้องมีพี่เลี่ยง 4-5 คนตามแน่นอนคนอย่างเจนี่เทียน พอโนล่าโตจนถึงทุกวันนี้ทุกคนก็ยัง เก่งมากเพื่อน ไม่มีใครช่วยเลย ช่วยกันสองคนกับพ่อ พ่อแม่ช่วยกัน”

ขอคำแนะนำนานาเรื่องการเลี้ยงลูกบ้างหรือเปล่า?
“พอเรามีลูกนะ เราไม่ต้องปรึกษาอะไรเลยมันเหมือนทุกอย่างมันมาเอง แต่เด็กแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน สไตล์ใครสไตล์มัน คาแร็กเตอร์ใครคาแร็กเตอร์มัน”

โชคดีที่โนล่าเข้ากับคนอื่นๆง่าย?

“เขาเป็นเด็กคอนเทนต์มาก(หัวเราะ) เด็กแบบยิ้มเป็น เมื่อวันเกิดเขาแขกมาเขายิ้มแบบคอนเทนต์ โนล่าสวัสดีคุณน้านะคะ เขาจะยิ้มคอนเทนต์มาก เป็นลูกของเจนี่เทียนแน่ๆ”

โล่งอกไหมลูกเราเข้าสังคมได้ในระดับต้นๆได้?
“เจนดีใจนะ เจนจะสอนเขาเสมอเลย โนล่าฟังมามี๊นะลูก หนูเห็นมามี๊ไหว้ใครหนูไหว้เลยลูก ไม่ต้องให้มามี๊บอก ช่างไฟ ช่างกล้อง เพราะมามี๊โตมาได้ด้วยคนพวกนี้ เพราะฉะนั้นจะเป็นใครก็ต้องไหว้ คนรถก็ต้องไหว้ พี่เลี้ยงก็ต้องไหว้ ไหว้ทุกคน”

พยายามเลี้ยงลูกให้คนคิดว่าเป็นลูกดารา?
“เจนไม่อยากให้เขาโดนสปอย ด้วยความโอเคหนึ่ง โนล่าเขาอาจจะโดนสปอยจากคนรอบข้างว่าเป็นลูกเจนี่ แต่ว่าตัวเจนเองจะคอยบอกคนรอบข้างว่า ไม่เอานะ เจนอยากให้เขาเริ่มต้นจากสิ่งที่เขาเป็นเด็กจริงๆ เป็นคนธรรมดาจริงๆ”

ไปออกรายการเราบอกจะต้องสวยตลอด เนื่องจากเรามีสามีเด็ก?
“ไม่เกี่ยวหรอก คือจริงๆ เจนก็รู้สึกว่าพอเรามาถึงอายุประมาณนี้แล้ว ก็ควรที่จะดูแลตัวเอง เราเป็นคนรักที่จะดูแลตัวเองค่ะ ชอบดูแลตัวเอง เราไม่เขินที่จะกลับไปใส่ชุด ม. ปลายเลย”

หลายคนคอมเมนต์ชมสวยมากหน้าเด็กมาก?
“ตอนนี้เวลาทำงาน ล่าสุดเขาบอกว่าพี่เจนี่ล้างหน้าได้ไหม คืออย่าลงรองพื้นได้ไหม คือเหมือนชอบเจนแบบไม่แต่งหน้ามากกว่าแต่งหน้า แต่งหน้าแล้วไม่เป็นเจน แต่พอไม่แต่งหน้าปั๊บนี่แหละเจน คนชอบแบบนี้มากกว่า กลายเป็นคนชินกับหน้าสด ทำให้เราต้องดูแลตัวเอง คือตายไม่ได้ไง”

น้ำตาล พิจักขณา

“น้ำตาล” เปิดใจเคียงข้าง “ปราง” วันที่เพื่อนใจเซ พร้อมอัปเดตเรื่องรัก 10 ปีเลื่อนวิวาห์

พิสูจน์ฝีมือการแสดงมามากมายบทบาทแล้ว สำหรับนางเอกสาว น้ำตาล พิจักขณา วงศารัตนศิลป์ ไม่ว่าคาแร็กเตอร์ที่ได้รับจะท้าทายความสามารถแค่ไหน เจ้าตัวก็พร้อมทุ่มสุดตัว เพื่อทำผลงานออกมาให้เยี่ยมที่สุด อย่างล่าสุดกับบท บลารี สาวสมัยใหม่ดวงดี มีความสามารถแต่งหน้าแปลงโฉม ในละครบันเทิงใจครบรส สายลับลิปกลอส ทางช่อง 3HD ตามติดคู่ดารานำชายในดวงใจ บอย-ปกรณ์ ฉัตรบริรักษ์ เป็นครั้งแรก

แถมยังได้กลับมาร่วมงานกับเพื่อนสนิท ปราง-กัญญ์ณรัณ วงศ์ขจรไกล อีกที ซึ่งหากใครไม่ค่อยได้ติดตามทั้งคู่ ก็อาจจะไม่รู้ว่าสองสาวนั้นเป็นเพื่อนสนิทกัน ตั้งแต่ก้าวเข้าสู่แวดวงบันเทิง จับมือผ่านเรื่องราวทั้งทุกข์รวมทั้งสุขมาเยอะมาก ถึงแม้ในวันที่เพื่อนรักต้องการกำลังใจที่สุด ทั้งคู่ก็พร้อมซัพพอร์ตรวมทั้งอยู่เคียงข้างกันเสมอ

เมื่อ มีโอกาสได้คุยกับ น้ำตาล เลยต้องให้เล่าถึงความสนุกสนานร่าเริงของละครเรื่องนี้ พร้อมทั้งย้อนจุดกำเนิดความสนิทกับเพื่อนสนิท ปราง กัญญ์ณรัณ และก็อัปเดตความรัก กับผู้แสดงรุ่นพี่ ไผ่ พาทิศ ที่คบหาดูใจกันมานาน 10 ปีแล้ว เมื่อไรจะมีโมเมนต์หวานควงแขนเข้าประตูวิวาห์สักที

สายลับลิปกลอส ละครตลกครบรส

“มีพระนางทั้ง 3 คู่ มีตาลกับพี่บอย ปกรณ์ และก็มีพี่ปั้นจั่น ปรมะ กับ ปราง กัญญ์ณรัณ และก็มีน้องก๊อต อิทธิพัทธ์ กับน้องมายด์ ลภัสลัล ซึ่งแต่ละคนจะได้แยกกันไปสืบภารกิจของตัวเอง คู่นั้นก็ไปสืบเรื่องนี้ คู่นี้ก็ไปสืบเรื่องนี้ แต่ที่จริงแล้วคือมีเรื่องราวรวมกัน ส่วนตาลทำงานเป็นพนักงานบัญชี เรามีอาชีพเสริมเป็นบิวตี้บล็อกเกอร์ เราก็จะรีวิวอะไรของเราไปเรื่อย แล้วเราดันเป็นสายครีเอทีฟ จะไม่ขายของและจะไม่รีวิวแบบธรรมดา ทำให้บางคอนเทนต์มีเด็กเอาไปทำตาม แต่ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการของเราเอง คิดว่าตรวจสอบดีแล้ว เราไม่ทันคิดว่าบางทีคอนเทนต์มันอาจจะเป็นดาบสองคม”

“ทำให้เกิดเหตุการณ์ที่ทำให้เราต้องออกจากงาน เราก็เลยต้องมาทำบิวตี้บล็อกเกอร์เต็มตัว ที่สำคัญเราไปสมัครเป็นดาวไลน์ในบริษัทเครื่องสำอาง เพื่อจะหารายได้เข้ามา ทำให้ได้เจอกับพระเอก แล้วก็เข้าไปอยู่ในแก๊งสายลับ หน้าที่ของเราก็คือ ทุกคนจะมีสกีลเป็นของตัวเองในแต่ละอย่าง บางคนเก่งไอที บางคนเก่งปลอมตัว หรือประดิษฐ์อุปกรณ์ต่างๆ ให้มันมีความพิเศษทันสมัยมากยิ่งขึ้น แต่เราเข้าไปในฐานะที่เราไปแปลงโฉมให้เขา เวลาเขาไปสืบราชการลับต่างๆ เราก็เลยใช้ความวสามารถในการแต่งหน้า ทำผม เปลี่ยนลุคให้แก๊งสายลับค่ะ”

น้ำตาล ปราง

น้ำตาล พิจักขณา เล่นละครกับเพื่อนสนิท ปราง กัญญ์ณรัณ

“ตอนแรกคือเศร้ามาก เล่นมาตั้งนานไม่เจอเพื่อนสักที เพราะแต่ละคู่ต้องไปเริ่มต้นจากปมของตัวเองก่อน วงกลมนี้มันจะค่อยๆ แคบเข้ามาเรื่อยๆ แล้วเราถึงจะค่อยๆ เจอกันตอนท้ายๆ แต่ว่าตอนท้ายๆ สนุกมาก แล้วปรางมันต้องเจอคนบ้าๆ อย่างตาล ปรางปกติคนจะนึกหน้านางออก นางก็จะเป็นแบบ ค่ะ ค่ะ

แต่ที่จริงปรางมันเป็นคนตลก ถ้าใครแบบเจาะเปลือกนางได้นิดเดียวนะ นางเป็นคนให้ใจ ซีนเมา ซีนรั่ว นางเต็มที่มาก แล้วยิ่งอยู่กับพี่ปั้นที่นางสนิทอยู่แล้ว นางก็แบบ โอ้โห เต็มที่ แต่ก็อย่างที่บอก เพราะต้องมาเจอพี่บอยกับพี่ปั้นจั่น สองคนนี้ก็จะฮากันตลอดเวลา เราก็จะมองหน้าปรางเพื่อไม่ให้หลุด สายตาแบบว่า โอเค เธอโฟกัสฉัน ฉันโฟกัสเธอนะ เราจะไม่ไปมองสองคนนั้นเด็ดขาด”

เคมีเดียวกัน คุยกันแล้วคลิก

“บรอดคาซท์เหมือนบ้านหลังที่สอง อยู่ด้วยกันมานานเป็น 10 ปีแล้ว ถือเป็นเพื่อนในวงการคนแรกๆ ที่เรารู้จัก และตาลกับปรางต่างกันสุดขั้วแทบจะทุกเรื่อง คือปรางจะเป็นผู้หญิง มีความรักสวยรักงาม เราจะเป็นฟิวเด็กผู้ชาย โตมาตามท้องไร่ท้องนา แล้วก็จะมีความไม่ค่อยเข้าใจว่าผู้หญิงที่ต้องมาเป็นนักแสดง เขาจะต้องดูแลตัวเองขนาดไหน

ปรางจะคอยแนะนำว่า เฮ้ย มีกินนี่สิ ไม่นวดหน้า ทรีตเมนต์บ้างนะ หรือใช้กันแดดแบบนี้ทำแบบนั้น เราก็ได้เรียนรู้จากเขา พอเรามาอยู่ในค่ายเดียวกัน ทำให้เวลาไปงานต่างจังหวัด หรือไปถ่ายละครก็จะนอนด้วยกันตลอด”

“ช่วงนั้นปรางเอ็นมือฉีก เราต้องไปต่างจังหวัดกัน ก็ดูแลกันตลอดค่ะ แล้วปรางตกบันได ความกลัวว่าเพื่อนจะเจ็บก็เลยดึงเพื่อนขึ้นมาเพื่อที่จะกอดเพื่อนไว้ แต่กลายเป็นดึงเพื่อนตกบันได้ไปด้วยกันทั้งคู่ มันก็เหมือนผ่านความเป็นความตายด้วยกันมาค่อยข้างเยอะ เราอยู่ด้วยกันแทบจะทุกช่วงของชีวิต บางคนอาจจะเห็นว่าตาลกับปรางไม่ค่อยโพสต์โซเชียลลงรูปด้วยกันบ่อยๆ แต่ที่จริงเราเจอกันบ่อย เพราะว่าเราทำบริษัท ทำธุรกิจด้วยกัน แล้วธุรกิจตัวนี้ก็เป็นเรื่องที่เราคุยกันมาตั้งแต่เด็กๆ ว่าถ้าเราจะทำอะไรเราจะทำด้วยกันนะ”

“ถ้าตาลทำธุรกิจคนเดียวก็เจ๊ง เพราะตาลเป็นคนที่ค่อนข้างจะยอม ตาลไม่มีความเป๊ะ ปรางเขาจะมีฉายาว่า ปรางเป๊ะ คือเขาเป็นคนที่เป๊ะมาก ออกงานเขาก็เป๊ะตั้งแต่หน้าผมจรดเท้า เรื่องสคริปอะไรอย่างแบบนี้ไว้ใจปรางได้เลย เขาจะมีความเป๊ะทุกอย่าง ทีมงานลูกน้องก็จะกลัวๆ แต่ตาลเป็นแนวบ้าๆ บอๆ อย่างนี้อะค่ะ”

เพื่อนใจเซ พวกเราก็เทกำลังใจให้

“ตาลกับปรางจะเป็นเหมือนกัน แค่แบบว่า เอ้ย แกโอเคมั้ย ส่งข้อความไปทิ้งไว้ให้ เออ เป็นกำลังใจให้นะ อะไรแค่นี้ แต่จะไม่เคยไปซักถามเพื่อนว่า เฮ้ย มึงโอเคป่าว มึงเป็นยังไง ทำไมมันถึงต้องเป็นแบบนี้วะ แต่ตาลพร้อมเป็นเครื่องด่าให้เพื่อนได้เสมอ ถ้าเพื่อนต้องการ พร้อมลุยให้เพื่อนได้เสมอ ถ้าเพื่อนต้องการ”

“ปรางจะเป็นคนค่อนข้างระวังตัวเอง แต่ถ้าใครรู้จักปรางแล้ว ปรางไม่มีอะไร บางทีมาคุยกับตาล มึงทำไมคนคิดว่าเราเป็นคนหยิ่งวะ ทำไมคนคิดว่าเราเข้าถึงยาก ตาลบอกก็ดูหน้าดิ ที่จริงปรางมันเป็นคนแบบไม่รู้จะพูดอะไร แต่ที่จริงแล้วขอแค่เปิด เธอๆ ชื่ออะไรอะ และหลังจากนั้นปรางมันก็จะยาวเลย ขอแค่คนเปิดก่อนแค่นั้น”

“ปรางเป็นเพื่อนคู่คิด แล้วก็มีความรู้สึกว่าสบายใจ เล่าที่นั่นจบที่นั่น จะไม่มีการไปต่อ คือความลับก็เป็นความลับ เพื่อนมันจะมีคนที่สนิท และก็สนิทกว่า และก็สนิทต่อไป แต่สำหรับตาล ปรางอาจจะไม่ได้เป็นเพื่อนที่สนิทที่สุดในโลก เรามีความรู้สึกว่า เราสบายใจที่ได้พูดได้คุยอะไรกับเขา อย่างที่บอกกว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ ตาลกับปรางผ่านอะไรด้วยกันมาเยอะ เราเริ่มต้นมาแทบจะพร้อมๆ กัน ทำให้เราเห็นการเติมโตซึ่งกันและกัน และค่อนข้างที่จะเข้าอกเข้าใจกัน”

“เอาจริงๆ คือเราเองพอจะทราบมาอยู่แล้ว แต่วันที่เป็นข่าวตาลไม่ได้ส่งข้อความไปตอนนั้นเลย คือรอสักพักนึงก่อนตาลจะเอาเรื่องงานเข้าเปิดก่อน ถ้ามันตอบได้แสดงว่าสามารถพูดคุยได้อยู่ เราจะทำเป็นส่งเรื่องงานไปถาม เรื่องนี้ยังไงอะเพื่อน เราจะทำอันนี้มั้ย ทำตัวนี้มั้ย พอมันตอบกลับมาแล้วเราก็ เออ แล้วตอนนี้โทรได้มั้ย เอ้ย โทรได้ๆ แล้วพอเราโทรไปฟังน้ำเสียงแล้วยังโอเคอยู่ เขาอยู่ในจุดนี้มาสักพักนึงแล้ว เพียงแต่ว่ามันเพิ่งจะมาเป็นข่าว อาจจะมีความลำบากใจที่จะออกมาพูด แค่นั้นเอง แต่หลังบ้านเขาเคลียร์กันจบหมดแล้ว และพูดคุยกันค่อนข้างที่จะเข้าใจ เพราะต่างฝ่ายก็ต่างเติบโตมาเป็นผู้ใหญ่ และก็น่ารักทั้งคู่ค่ะ”

“เข้มแข็งนะคะ ปรางถือว่าเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เรารู้ว่าผู้หญิงคนนี้เป็นผู้หญิงที่สู้ แล้วเวลาสู้คือเขาสู้สุดใจในทุกๆ อย่าง ทำงานเขาก็ทุ่มเทอย่างเต็มที่ ทำธุรกิจเขาก็ทุ่มเทอย่างเต็มที่ เพื่อที่จะพาธุรกิจให้รอด ต่อให้เราจะเจอสถานการณ์โควิด จะเจอสถานการณ์ที่คนไม่เชื่อมั่นในเรื่องของอาหารเสริม เราก็พยายามจะพาทุกคนไปให้รอด เพราะเราแบกลูกน้องไว้อยู่ข้างหลัง รวมถึงในเรื่องความรัก ตาลก็เชื่อว่าเขาทั้งสองคนต้องเต็มที่ถึงที่สุดอยู่แล้ว แล้วตาลก็ยังชื่นชมทั้งสองคนอยู่เสมอค่ะ ตาลยังรู้สึกภูมิใจในความเป็นปรางจนทุกวันนี้”

ความรักกับ ไผ่ 10 ปี

“ก็ดีค่ะ เรื่อยๆ ด้วยความที่มัน 10 ปีแล้ว ทุกคนก็จะเป็นแบบนี้ พอยังไม่เป็นแฟนก็เป็นแฟนหรือยัง พอเป็นแฟนแล้วก็เมื่อไหร่จะแต่งงาน พอแต่งงานแล้วเมื่อไหร่จะมีลูก คือสเต็ปมันก็เป็นอย่างนี้ แต่คิดว่าคนน่าจะเบื่อกับตาลแล้ว ว่าจะแต่งงานเมื่อไหร่ ตาลคงตอบไม่ได้ ณ เวลานี้ เพราะถ้าย้อนกลับไปเมื่อ 2-3 ปีที่แล้ว ก่อนจะมีโควิดเราค่อนข้างจะมั่นใจ มันน่าจะอยู่ภายใน อายุ 30-33 ตอนนี้ตาล 30 แล้วค่ะ(หัวเราะ) มันได้ผ่านจุดนั้นมาแล้วค่ะคุณผู้ชม”

คือโควิดมันร้าย มันพรากทุกสิ่งทุกอย่างไปจากเรา ถ้าไม่มีโควิดชีวิตเราน่าจะลงตัวได้ดีกว่านี้ คืดตาลค่อนข้างที่จะมีสเต็ปชีวิตที่ค่อนข้างแน่นอน และเราก็ดำเนินชีวิตมาตามสเต็ป ค่อยๆ เขยิบมาทีละนิดๆ ตามนั้น เรียนจบทำธุรกิจ และสเต็ปต่อไปคือการแต่งงาน แต่พอเรียนจบเริ่มทำธุรกิจปุ๊บ โควิดมา 3 ปีเลย แล้วมันดันเป็น 3 ปีที่เราเอาเงินไปจมกับธุรกิจ”

“ที่ผ่านมาพวกเราแทบจะไม่มีงานกันเลย เหมือนเราต้องเอาเงินเก็บมาใช้ ชีวิตความมั่นคงก็ค่อยๆ ถอยห่างเราไปทุกที อยู่ๆ จะให้เรามารู้สึกว่า โอเค โควิดหายแล้ว ชีวิตกลับมาเป็นปกติแล้วแต่งงานกัน มันไม่ใช่ เพราะว่าสำหรับหนูการแต่งงานมันหมายความว่า เราพร้อมที่จะใช้ชีวิตคู่แล้วนะ จะไม่ได้เป็นแค่ฉันกับเธอแล้ว เราจะต้องรวมกัน แล้วทีนี้ตาลยังมีภาระหน้าที่ที่ตาลยังต้องรับผิดชอบ เรายังเอาตัวเองไม่รอดเลย แล้วเราจะเอาชีวิตที่มีปัญหารุมเร้าไปฝากกับเขาไว้หรอ มันค่อนข้างจะเห็นแก่ตัวไปนิดนึง ซึ่งที่จริงเขาก็พร้อมแล้วแหละ เพราะทุกวันนี้เขาก็บอกตาลว่า เนี่ยไม่ได้ไปงานแต่งงานเพื่อนแล้วนะ ทุกวันนี้ไปงานวันเกิดลูกเพื่อน(หัวเราะ) แต่เขาค่อนข้างที่จะเข้าใจ เพราะตาลเป็นผู้นำครอบครัวร้อยเปอร์เซ็นต์เลย”

ไผ่ น้ำตาล

แพลนวิวาห์หวาน เหตุผลที่ถูกเลื่อน

“ตาลมีความรู้สึกว่า เราต้องพร้อมก่อน เราถึงจะเดินไปด้วยกันได้ ไม่ใช่เราเป็นนกปีกหัก แล้วก็บินไปหาเขาทั้งๆ ที่เราปีกหัก หลังจากนี้เราจะต้องเกาะอยู่หลังเขาตลอด เพื่อให้เขาบินพาเราไปไหน เรารู้สึกว่ามันไม่ได้จริงๆ ก็ค่อนข้างจะคุยกันเข้าใจแล้ว อย่างที่บอกตาลเป็นผู้นำครอบครัว ตาลก็อยากให้ครอบครัวของเรามีอะไรที่ค่อนข้างจะมั่นคงก่อน”

“ถ้าวันนึงไม่เป็นฉันกับเธอแล้ว มันเปลี่ยนเป็นเราสองคน อนาคตเราต้องมีลูกอีก เราก็อยากพร้อมซัพพอร์ตลูกได้ทุกอย่าง เวลาเขาอยากได้อะไร อยากเรียนอะไร แล้วสมัยนี้ไม่เหมือนสมัยเราเป็นเด็กๆ ถ้าวันนึงมีลูกเราก็อยากสนับสนุนเขาได้แบบร้อยเปอร์เซ็นต์”

“อย่างแรกเลยคือหนูไปฝากไข่ไว้เรียบร้อยแล้ว แต่ทุกคนอาจจะคิดว่าเป็นการตัดสินใจร่วมกันหรือเปล่า ตาลกับพี่ไผ่คุยกันหรือเปล่า แต่จะบอกว่าตาลไปคนเดียว อ๋อ ตาลไม่ได้ไปคนเดียว ตาลไปกับยัยแจ็คกี้ ชาเคอลีน วันนั้นเราไปหาคุณหมอตรวจสุขภาพประจำปีกัน คุยกันไปคุยกันมา หมอเขาก็บอกว่า สภาพไข่เราดีนะ ตาลเป็นผู้หญิงวัย 30 แล้ว เราก็อยากจะรู้ว่าไข่ของเราสมบูรณ์มั้ย คุณหมอชมนะคะว่าเป็นแม่ไก่ชั้นดี มีไข่เยอะมาก ไข่อยู่เต็มท้อง หมอก็บอกว่าที่จริงตาลสามารถมีลูกแบบธรรมชาติได้เลย”

“เพียงเขาแค่พูดว่าจะมีแพลนมีลูกหลังอายุ 35 หรือเปล่า คนแรกอาจจะไม่ได้ตอนอายุ 35 แต่คนที่สองจะตอนอายุ 35 มั้ย คุณหมอเริ่มพูดมันเหมือนเราอยู่ในภวังค์ เราเริ่มเคลิ้ม เราเริ่มจินตนาการถึงไข่เรา ไข่เรา ณ เวลานั้นจะเหลือเยอะพอที่จะเป็นลูกเราได้ถึงขนาดไหน แล้วเขาก็เริ่มพูดว่าถ้าเราเก็บไข่ ตอนนั้นตาลอายุ 29 กำลังเข้าสู่วัย 30 เก็บตอนนี้ไข่เราก็คือไข่ในวัย 29 และจะเป็นอย่างนี้ตลอดไป เพราะไข่สามารถฟรีซได้ตลอดไปไม่มีระยะเวลา”

“เราก็เฮ้ย มันก็ดีนะ เป็นการป้องกันไว้ดีกว่าแก้ เพราะตอนนี้ตาลไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่เพื่อนตาลหลายๆ คนคือค่อนข้างที่จะมีบุตรยากนิดนึง ตาลก็เหมือนฝากประกันให้กับชีวิต ถ้า ณ เวลานั้นไม่สามารถมีแบบธรรมชาติได้ เราก็ยังสามารถมีลูกได้”

รักมั่นคงไม่เปลี่ยนแปลง
“ทุกคนคิดแบบนี้ แล้วก็มาถามตาลแบบนี้เยอะมากๆ แต่สำหรับตาลมันเป็นเคสบายเคส แต่ละคนเจออะไรมาไม่เหมือนกัน เพราะเราถูกเลี้ยงดูมาแตกต่างกัน ที่จริงของเขาอาจจะเป็นเรื่องที่ตกลงกันมาดีอยู่แล้ว พอมันจบลงแบบนี้อาจจะดีทั้งสองฝ่าย แต่สำหรับเราก็ยังไม่ได้เจอปัญหาอะไรที่ทำให้รู้สึกว่า เราไม่สามารถจะเดินต่อไปได้ เรารู้สึกว่าในทุกวันมันดีขึ้นเรื่อยๆ เพราะเราเคยผ่ายจุดนั้นมาแล้ว”

“ตอนประมาณ 7 ปี ที่เขาบอกว่าเป็น 7 ปีอาถรรพ์ ก็ไม่ค่อยเชื่อนะตอนแรก มันเป็นช่วงเวลาที่จะนานก็ไม่นาน คือถ้าจะมากกว่านี้ก็คือ 8-10 ปีแล้วนะ ถ้าไม่โอเคก็ควรเลิกหรือเปล่า เขาก็เลยว่าเป็น 7 ปีอาถรรพ์ ตอนนั้นตาลก็เจอ เพิ่งได้เห็นเขามีความชอบค่อนข้างทเยอะมาก แล้วเรามีความรู้สึกว่าฉันจะไปอยู่ตรงไหน เขามีความติสท์ เราก็คนติสท์มันเป็นยังไงวะ นี่แหละค่ะมันเป็นอย่างนี้ (หัวเราะ) แต่ว่าพอผ่านตรงนั้นมาได้ตาลรู้สึกว่า เขาดีขึ้นเรื่อยๆ เหมือนเราค่อยๆ โตกันตามสเต็ปชีวิตมาเรื่อยๆ”

“เป้าหมายยังเหมือนกัน เรามีความรู้สึกว่าเขาก็เป็นคนดี ทุกวันนี้เสมอต้นเสมอปลาย เขาดูแลเราค่อนข้างดี เพื่อนเราก็รักเขาทุกคน เขาก็ไม่ได้รักเราแค่คนเดียว แต่เขายังเผื่อแผ่ไปยังคนรอบข้างเรา กับที่บ้านตาลแทบจะเป็นขวัญใจหมู่บ้าน เพราะนางจะเป็นฟิวคุณหนูจำไม แบบว่าอันนี้คืออะไรๆ ปู่ย่า ตายาย ทวด ก็จะพาไปตะเวนในหมู่บ้าน นางก็ชอบ”

“ตาลว่าเราต้องเปิดใจรับฟังซึ่งกันและกัน บางคู่อาจจะเป็นต่างคนต่างพูด แต่มันไม่มีคนฟัง หรือบางคู่อาจจะฟังทั้งคู่ แต่ไม่มีใครลุกขึ้นมาพูด และที่สำคัญคือการให้เกียรติซึ่งกันและกัน ตาลจะไม่ค่อยข้ามเส้น ต่อให้เป็นแฟนกัน เราก็จะไม่ข้ามความเป็นพี่เป็นน้อง แม่ตาลบอกเสมอว่าอย่าเลยขั้นมึงกูไปเลย ทะเลาะกันปรี๊ดแตก หรือว่ากรี๊ดใส่กันมันจะทำให้ไม่มีความเคารพซึ่งกันและกัน ซึ่งเราอย่าไปทำแบบนั้น มันไม่ดี อย่าไปด่าพ่อล่อแม่ใคร ไม่ว่าในทุกๆ ความสัมพันธ์

“การให้เกียรติกันมันเป็นสิ่งที่สมควรจะได้รับในทุกๆ ความสัมพันธ์ ที่สำคัญคือความไว้ใจ ความซื่อสัตย์ แล้วก็เสมอต้นเสมอปลาย เขาเป็นยังไงก็ยังเป็นอย่างงั้น ทุกวันนี้เราไม่ค่อยทะเลาะเรื่องใหญ่ๆ เลย ย้อนกลับไป 1-2 ปีแรก จะมีความน้อยใจเก่ง อย่างที่เขาบอกคบเด็ก แล้วเราเด็กกว่าเขาก็จะไม่เข้าใจว่า ทำไมเขาดูนิ่งจัง เฉยจัง หรือดูแมนเกินไป แล้วเราเป็นคนโรแมนติกสูงมาก หลังๆ ตาลชอบอะไรก็จะจัดไปเลย อยากได้ดอกไม้ ลูกโปร่ง ตาลก็จัดเอง เราอยากทำอะไรเราก็ทำ พอโตมาเป็นผู้ใหญ่ถึงรู้ว่า ความสัมพันธ์พอนานๆ ไป มันก็คือเพื่อนคู่คิดกัน”

“เราสามารถพัฒนาไปถึงตรงนั้นได้หรือเปล่า ต่อให้เข้ากันมากแค่ไหน มีข้อที่เหมือนกันมากแค่ไหน สุดท้ายแล้วเรารับข้อเสียของกันและกันได้หรือเปล่า จนทุกวันนี้รู้แล้วว่าเสียที่สุดของเขาคืออะไร โมโหที่สุดของเขาคืออะไร โมโหที่สุดของพี่ไผ่คือ ฮื้อ แค่นี้ ตาลบอกนี่โมโหแล้วหรอ ทะเลาะด้วยไม่สนุกเลย แล้วเวลาเราขึ้นมากๆ เขาก็จะหยิบมือถือมาถ่ายเอาอีกๆ ทำให้มันดูเป็นเรื่องสนุก ทำให้เรารู้สึกเหมือนบ้าไปคนเดียว สุดท้ายเรารับความแตกต่าง รับสิ่งที่เป็นเขาได้จริงๆ แค่ไหน คือเรื่องที่สำคัญมากที่สุด”

โตโน่ ภาคิน

“โตโน่” ว่ายังยังไง? ไวรัลท่าเต้น สตาร์ทมอเตอร์ไซค์ คนแห่เต้นตามทั้งโซเชียลฯ

ทำเอานักร้องซุปตาร์ โตโน่ ภาคิน คำวิลัยศักดิ์ ถึงกับเก็บความรู้สึกเขินเอาไว้ไม่อยู่กันอย่างยิ่งจริงๆ เมื่อท่าเต้นที่เจ้าตัวเต้นเป็นประจำบนเวทีคอนเสิร์ต อยู่ดีๆกลายเป็นไวรัลครั้งใหญ่บนโลกโซเชียลฯ ที่มีทั้งคนกล่าวถึง เต้นตาม แถมยังตั้งชื่อให้ด้วยว่า “สตาร์ทมอเตอร์ไซค์”

และจากใจความสำคัญดังที่กล่าวถึงมาแล้วนี้ทางด้านของ โตโน่ภาคิน ก็ได้ออกมาเปิดใจแบบจัดเต็มในงานบวงสรวงภาพยนตร์ ขุนพันธ์ 3 ถึงที่มาที่ไปของท่าเต้นที่ผู้คนจำนวนมากสนใจคราวนี้ โดยเจ้าตัวเห็นด้วยว่า ทุกๆสิ่งทุกๆอย่างเกิดขึ้นจากฟีลลิ่ง มิได้มีการซ้อม หรือฝึกฝนใดๆแต่ว่าเป็นเพราะเหตุว่าอยากทำให้ผู้ชมรู้สึกสนุกสนานไปกับโชว์ล้วนๆ

เวลานี้บนโลกโซเชียลฯ ผู้คนจำนวนมากกล่าวถึงสไตล์การเต้นของเราเยอะมาก ?
“(เขิน) มันเป็นเองครับ มันเป็นเอง มันเป็นแบบนี้มาตั้งนานแล้ว เป็นมาตั้งแต่ต้นเวลาที่ผมไปเล่นคอนเสิร์ต มันเป็นฟีลของผม คือบางทีเวลาเราเล่นคอนเสิร์ตเราก็ไม่รู้หรอกครับว่าเราทำอะไรไปบ้าง (หัวเราะ)”

โตโน่

อากาศมันร้อนหรือว่ายังไง เห็นเราถอดเสื้อทุกงานเลย ?

“ไม่ใช่อากาศมันร้อนหรอกครับ เพราะมันก็ร้อนทุกงาน (หัวเราะ) คือถ้ามันเป็นท่าเต้นที่แบบว่าฝึกมา ผมก็จะสามารถตอบได้ แต่อันนี้คือมันนึกจะมาก็มา มันไม่ได้เป็นสิ่งที่เราคิดว่าเป็นท่าเต้นด้วยซ้ำ”

ตอนแสดงไม่รู้ตัว แล้วพอได้มาเห็นคลิปรู้สึกยังไงบ้าง ?
“(หัวเราะ) มันก็…มันก็อายเหมือนกันนะ ไม่ได้คิดจริงๆ ครับ แต่ก็ดีใจนะ (หัวเราะ) ดีใจที่หลายๆ คนมาสนุกกัน และหลายคนเขาก็ทราบอยู่แล้วแหละว่านั่นไม่ใช่ท่าเต้นที่เรียนมา”

ฟีลเราจะมาในลักษณะนี้ทุกคอนเสิร์ตเลยไหม ?
“ผมคิดว่าเป็นเพราะผมอยากให้คนดูสนุกมากกว่า คือเวลาที่เล่นคอนเสิร์ตผมไม่ได้คิดหรอกว่าจะมีกล้องถ่ายไหมหรืออะไรยังไง เพราะเราก็ต้องอยู่กับเพลงของเรา อยู่กับคนดูที่เขามาชม ซึ่งดนตรีและอารมณ์ของเพลงมันก็จะพาเราไปเอง ในหัวผมไม่ได้คิดหรอกว่าผมเต้นแบบนี้ถูกหลักไหม หรือผมเต้นแล้วดูดีหรือเปล่า คือไม่มีคำว่าเต้นในหัวผมเลยดีกว่า ณ จุดนั้น”

คิดไหมว่าประเด็นนี้จะกลายเป็นไวรัลบนโลกโซเชียลฯ ?
“ไม่เลยครับ ไม่เคยคิดเลยจริงๆ แต่ผมคิดว่ามันเป็นไวรัลเพราะผมว่ายน้ำนี่แหละ เพราะผมเต้นของผมแบบนี้มาหลายปีแล้ว”

เครียดไหมในระหว่างที่แสดงคอนเสิร์ต ?
“ไม่ครับ ผมมีความสุข ผมสนุก และผมคิดว่าอาการแบบนั้นไม่น่าจะเป็นอาการของคนที่มีความเครียดนะ (หัวเราะ)”

ทำเป็นชาเลนจ์ไปเลยไหม ?
“อย่าดีกว่าครับ (หัวเราะ)”

เราสามารถเต้นท่าเดิมได้หรือไม่ ?
“ผมเต้นได้ครับ แต่ว่ามัน…(หัวเราะ) มันไม่ใช่นะครับ”

มีแพลนจะไปเรียนเต้นเพิ่มเติมไหม ?
“(หัวเราะ) ถ้าเรียนเต้นผมควรไปเรียนตั้งแต่ออกจากบ้านเดอะสตาร์แล้วครับ ตอนที่ถูกถามนี่เขินนะ”

หลังจากนี้เวลามีคอนเสิร์ตคนก็จะโฟกัสการเต้นของเรามากยิ่งขึ้น ?
“จริงๆ ก็ดีนะครับ เริ่มมีคนเต้นตามบ้างแล้ว อันนี้หมายถึงในงานเลยนะ อารมณ์แบบเมื่อไหร่จะสตาร์ทมอเตอร์ไซค์”

สตาร์ทมอเตอร์ไซค์ คือชื่อท่า ?
“ครับ เห็นเขาเรียกกันแบบนั้น ตอนนี้ก็เริ่มมีการใส่กุญแจแล้วด้วย สนุกครับ มองให้มันเป็นเรื่องสนุก เพราะเป้าหมายของเราคือทำให้คนดูมีความสุขอยู่แล้ว เราไม่ได้มองเลยว่าเราเต้นถูกหลักไหม เราเท่ไหม เราหรือยัง มันไม่ได้อยู่ตรงนั้นเลยครับ”

ประวัติ โตโน่ ภาคิน หรือ โตโน่เดอะสตาร์

โตโน่ ภาคิน คำวิลัยศักดิ์ เกิดเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2529 ส่วนสูง 177 ซม. เป็นคนจังหวัดขอนแก่น และเป็นบุตรคนโต มีน้องสาว 1 คน ชื่อ แสงระวี คำวิลัยศักดิ์ หรือ ต้องตา ตอนแรกเกิด โตโน่ค่อนข้างตัวเล็ก ร่างกายไม่แข็งแรงนัก โดยคุณแม่ตั้งชื่อให้ว่า เอ ตะวัน คำวิลัยศักดิ์ แต่เนื่องจากคุณพ่อเป็นนักมวยและใช้ชื่อว่าหมูโตโน่ จึงตั้งชื่อเล่นให้เขาว่า “โตโน่” ภายหลังคุณพ่อเสียชีวิต จึงเปลี่ยนชื่อจริงใหม่เป็น ภาคิน

โตโน่สำเร็จการศึกษาระดับมัธยมจากโรงเรียนขอนแก่นวิทยายน และระดับปริญญาตรีด้านธุรกิจการบิน จากมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต ศูนย์หัวหิน (ปัจจุบันคือมหาวิทยาลัยสวนดุสิต ศูนย์การศึกษานอกที่ตั้งหัวหิน)

เส้นทางสู่วงการบันเทิง และผลงานสร้างชื่อ
หนุ่มตี๋สุดเท่คนนี้เริ่มเป็นที่รู้จักจากการแข่งขันรายการเดอะสตาร์ 6 ใน พ.ศ. 2553 โดยสามารถผ่านเข้ารอบ 8 คนสุดท้าย ได้หมายเลข 6 และคว้ารางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 มาได้ อีกทั้งยังเป็น 1 ใน 3 คนของแก๊งอสรพิษ อันประกอบไปด้วย โตโน่ ภาคิน กัน นภัทร และ ริท เรืองฤทธิ์ ซึ่งเกิดจากการรวมตัวกันในช่วงแข่งขันรายการและยังคงคบหาสนิทสนมกันจนมาถึงปัจจุบัน

หลังจากนั้น โตโน่ก็มีผลงานเพลงมากมายและได้ออกอัลบั้มร่วมกับเพื่อน ๆ ในชื่อ TONO & The DUST เมื่อปี พ.ศ. 2556 สังกัด Up^G ในเครือ GMM GRAMMY รวมถึงร้องเพลงประกอบละครที่ฮิตติดหู เช่น มันถูกกำหนดไว้แล้ว (ประกอบละคร บุหงาหน้าฝน) รักเธออยู่ดี (ประกอบละคร ปัญญาชนก้นครัว) ยังไงก็โดน (เพลงประกอบละคร เพชฌฆาตดาวโจร) พรหมลิขิตมั้ง (เพลงประกอบละคร The Cupids บริษัทรักอุตลุด)

ส่วนผลงานการแสดงก็เรียกว่าไม่น้อยทีเดียว โดยเขาฝากฝีมือไว้ทั้งซิทคอม เรื่องนัดกับนัด ทาง ช่อง 9 รับบท น็อต เรื่องลูกพี่ลูกน้อง ทาง ช่อง 9 รับบท ธันวา และ ผู้กองหน้ามน ทาง Page Facebook One Playground รับบท ร.ต.อ. มารุต พิทักษ์ไทย ตามมาด้วยละครอีกหลายเรื่อง เช่น เรือนแพ ปีกมาร สื่อริษยา เพชฌฆาตดาวโจร The Cupids บริษัทรักอุตลุด ตอนกามเทพซ้อนกล วายุเทพยุทธ์ และล่าสุดเรื่อง พระจันทร์แดง นอกจากนั้นยังมีผลงานแสดงภาพยนตร์และละครเวทีอีกด้วย

จากฝีมือการแสดงที่ไม่ธรรมดา ทำให้เขาได้รับรางวัลการันตีมากมาย ตัวอย่างเช่น รางวัลโทรทัศน์ทองคำครั้งที่ 26 พ.ศ. 2554 สาขานักแสดงนำชายดีเด่น จากละครเรื่อง เรือนแพ รางวัลสปอร์ตแมน 2012 จากการกีฬาแห่งประเทศไทย รางวัลขวัญใจมวลชน รางวัลนักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม เป็นต้น

นุ่น วรนุช

“นุ่น วรนุช” จัดเตรียมเปิดที่พักรวมทั้งคาเฟ่บนเกาะล้าน บอกธุรกิจเล็กๆควักทุนหลักล้านเองวิ!

“นุ่น วรนุช” เตรียมเปิดที่พักและคาเฟ่บนเกาะล้าน โอดช่างมีน้อย งบเริ่มบาน คงเสร็จไม่ทันปีใหม่ ปัดทุ่มเป็นร้อยล้าน ควักแค่หลักล้านเองวิ คาดหวังให้ปังสมชื่อ เพราะว่าตกแต่งตามแบบที่ชอบ ลงรูปคู่ “ต๊อด” ปีละครั้งเพราะว่าไม่ค่อยได้ถ่าย เหตุอีกฝ่ายเป็นนักธุรกิจไม่ใช่ดารา

ลงพื้นที่ตรวจเองเลยจ้า สำหรับสาว “นุ่น วรนุช ภิรมย์ภักดี” ที่กำลังเริ่มต้นธุรกิจใหม่บนเกาะล้าน ด้วยการสร้างที่พักติดทะเล 3 ห้องนอนพร้อมคาเฟ่ ซึ่งงานนี้เจ้าตัวก็เปิดเผยให้ฟัง ในงานแถลงข่าว “GMMTV 2023 : DIVERSELY YOURS” ว่าทำเล็กๆควักทุนแค่หลักล้านเองวิ

“คือธุรกิจที่เกาะล้านมีแพลนทำที่พักเล็กๆ 3 ห้อง และมีร้านคาเฟ่ จะเป็น 2 ธุรกิจที่เตรียมทำ แล้วตอนนี้กำลังก่อสร้างอยู่ค่ะ อาจจะต้องใช้เวลานิดหนึ่ง ไม่ได้ทำใหญ่โต เพราะเราไม่ได้รวยขนาดนั้น เราก็เก็บเล็กผสมน้อย เราก็เอาเงินนั่นแหละไปทำ เพราะว่าเริ่มจากการที่ไปถ่ายยูทิวบ์ WORRA WORLD WIDE ที่เกาะล้าน ตอนเด็กๆ ไม่เคยไปเลย เพิ่งไปตอนโตเรารู้สึกว่าชอบที่นี่มาก ชอบคนที่นี่ด้วย ชอบทะเล เป็นคนชอบทะเลอยู่แล้ว นั่นแหละมันก็เลยเกิดธุรกิจเล็กๆ อันนี้ขึ้นมากับคนบนเกาะค่ะ ร่วมทำค่ะ ไม่ได้ซื้อที่ดินค่ะ เพราะว่าไม่ได้รวยจริงๆ ก็คือเรามีกลุ่มเล็กๆ แล้วก็มาลงทุนทำ แล้วก็ไปเช่าก็จะปลอดภัยสุด”

เกาะล้าน

ทำ 3 ห้องนอนวิวทะเล แต่ว่าไม่เรียกว่าเป็นวิลล่า

“ไม่ มันเล็กๆ มาก แต่มันเป็นเล็กที่มีคุณภาพ ราคาที่พักยังก่อน เดี๋ยวรอให้เสร็จเรียบร้อยก่อน สำหรับ 3 ห้องนอนมันเป็นห้องเป็นมุมที่เห็นทะเล เวลาใครไปทะเลก็ต้องอยากได้ที่พักที่ติดทะเล นุ่นก็เป็นคนหนึ่งถ้าเกิดไปทะเลก็ต้องหาที่พักที่ติดทะเล ดีไซเนอร์เราก็ออกแบบมามันไม่เหมือนที่พักที่อื่นในเกาะล้านด้วย การตกแต่งก็จะเปลี่ยนแปลงออกไป จริงๆ ตั้งใจอยากให้เปิดก่อนปีใหม่ แต่คิดว่าอาจจะไม่ทัน”

ปัดลงทุนร้อยร้าน ทำเล็กๆแค่หลักล้านเองวิ
“ก็หลักล้านค่ะ แต่ก็ไม่ได้เยอะมากค่ะ อย่างที่บอกทำเล็กๆ จริงๆ ที่นี่น่ารักตรงที่ว่ามันเป็นธุรกิจเล็กๆ หมดเลย นุ่นว่าความน่ารักมันอยู่ตรงนี้แหละ แล้วก็การลงทุนก็คือความเสี่ยงเพราะฉะนั้นเวลาจะลงทุนทำอะไรเราต้องพยายามให้เซฟตัวเองด้วย และเซฟทุกๆ คนด้วย (ไม่ใหญ่แน่นะวิ?) ไม่ใหญ่จริงๆ ค่ะ (มีกระแสะข่าวว่าลงทุนเป็นร้อยล้าน?) ไม่มีค่ะ”

คนที่เกาะยินดี เพราะว่ามีความคิดเห็นว่าไปบ่อย หลงเสน่ห์เกาะล้าน ต้องการที่จะให้ไปกันเยอะๆ
“คือเขาจะเห็นนุ่นไปบ่อย ทำไมพี่นุ่นไปบ่อยจังเลย มาทำอะไรคะ แต่บางทีก็ไม่ได้ทำอะไรนะคะ ว่างวันสองวันก็แวะไป ถ้าคนที่ท่องเที่ยวจะรู้เลยว่าที่พักสวยๆ จองยากมาก สมมติบางที่ที่นุ่นไปคือที่พักเต็มหมดเลย เต็มแบบข้ามปี ตอนนี้น้ำทะเลใสมากๆ ถ้ามีโอกาสก็อยากให้ไป นุ่นว่าเกาะล้านเป็นทะเลที่ใกล้กรุงเทพฯ การเดินทางขึ้นเรือสปีดโบ้ทแค่ 15 นาทีเองถึงแล้ว มาง่าย น้ำใส บางช่วงทำไมมันเหมือนทะเลทางใต้เลย ทรายขาว พระอาทิตย์ตกสวยมาก อยากให้ไปกัน”

เปิดเผยก่อนดูฤกษ์ใหม่ จำเป็นต้องดูฤกษ์คนงานก่อน
“ตอนนี้ต้องดูฤกษ์คนงานก่อน เพราะไปดูทีทำไมเข้าสองคนเอง คือจังหวะอาจจะยาก งานไม้ก็ต้องเป็นช่างที่มีความชำนาญเฉพาะทางด้านไม้ด้วย งบที่ตั้งไว้ ก็เลยไปนิดหนึ่งแล้วค่ะ เรียกเก็บเพิ่มก็มี”

นุ่น วรนุช เตรียมเปิดที่พัก บนเกาะล้าน

คาดหวังต้องการที่จะให้ปัง สมเป็นที่พักของ “ นุ่น วรนุช ”

“ก็คาดหวังเหมือนกัน เพราะว่าเท่าที่ดูคนในหุ้นส่วนกันแล้ว ก็ดูแล้วรู้สึกว่าเราก็ชอบแบบนี้ กับการที่นุ่นเดินทางค่อนข้างเยอะ ไปต่างประเทศเยอะ ก็จะเห็นการตกแต่งหลายๆ แบบ อันนี้ชอบเลยค่ะ”

มีบทบาทเป็นฝ่ายต่อราคา เพราะว่าแต่ละชิ้นที่ออกแบบมาราคาสูงมาก
“เป็นฝ่ายต่อราคา น้องๆ ในบริษัทบอกพี่นุ่นไม่ต้องทำแล้วก็ได้ เดี๋ยวคนจะว่าพี่นุ่น เราบอก ไม่ๆ คือเราก็ต้องคุยราคาอะไรใดใด เพราะว่าแค่อ่างอาบน้ำก็ราคาประมาณ 9 หมื่นแล้ว มันก็ราคาสูง เขาก็ดีไซน์มาให้มันสวยเหมาะกับที่พัก”

มีไฟสำหรับเพื่อการทำธุรกิจอสังหาฯ หลงใหลเนื่องจากว่าลงทุนไม่เยอะมาก
“มีๆ ชอบค่ะ คืออยู่นิ่งๆ ไม่ค่อยได้ ถามว่าธุรกิจนี้มันน่าหลงใหลยังไง คืออย่างที่บอกมันเป็นการลงทุนที่ไม่เยอะ เพราะฉะนั้นเราไหว เราก็ทำ ก็ต้องดูว่าเวลาเราทำงานแล้วเนี่ย นุ่นไม่ได้เอาตัวเองเข้าไปลงร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะฉะนั้นทีมเป็นสิ่งสำคัญที่มีคนเหมือนช่วยเราทำงาน ทำงานให้เรา เราไปอยู่กับเขา ก็ต้องขอบคุณหุ้นส่วน ที่เขามีความเป็นโปรเฟสชั่นนอลค่ะ ตอนนี้ก็เห็นเป็นรูปเป็นร่างแล้วนะ ตั้งแต่แรกๆ ที่ไปมีแค่โครงเลยแดดยังส่อง แต่ตอนนี้มีหลังคา เริ่มปลูกไม้ ก็ชื่นใจหน่อย แต่ก็อยากให้เสร็จเร็วๆ เหมือนกัน”

ลงรูปคู่สามี “ต๊อด ปิติ ภิรมย์ภักดี” แค่ปีละครั้ง ตอนไปทำบุญ
“ค่ะ (ยิ้ม) ก็อยากให้ทุกคนมาร่วมอนุโมทนาบุญกับเรา ก็ต้องขอบคุณที่ทุกคนมาร่วมทำบุญกับเราด้วย เขาไม่ใช่ดารา เหมือนเดิม ก็ไม่ค่อยได้ถ่าย ไปขอเขาถ่ายสิเวลาเจอ ถามว่ามีมากกว่าหนึ่งรูปไหมในแต่ละปี ก็ไม่รู้ แล้วแต่จังหวะมั้งคะ เราไม่ได้เขิน เรายังไงก็ได้ แต่ก็จะมีคนที่มาร่วมทำบุญเขาจะถ่ายเก็บไว้ บางทีไปเห็นในติ๊กต๊อก ซึ่งเขาก็ไม่ได้พูดอะไร เพราะเขาใส่หน้ากาก แต่เขาก็ไม่ชิน เขาเป็นนักธุรกิจเนาะ เขามีงานประจำของเขา”